svasdssvasds

Lucid Air Sapphire รถ EV สเปกแรงกว่า Tesla Model S ชี้อนาคตท้าชนซุปเปอร์คาร์

Lucid Air Sapphire รถ EV สเปกแรงกว่า Tesla Model S ชี้อนาคตท้าชนซุปเปอร์คาร์

Lucid Air Sapphire อีกหนึ่งรถ EV รุ่นเรือธงของทาง Lucid Motors ซึ่งขณะนี้ได้เป็นที่ฮือฮอากันในวงการเนื่องจากสเปกแรงกว่ารถยนต์ค่ายดังอย่าง Tesla Model S และซุปเปอร์คาร์หลายๆคัน ด้วยกำลังกว่า 1,200 แรงม้า

Lucid Air Sapphire จากค่าย Lucid Motors ที่ได้รับเสียงตอบรับดีทั่วโลก เนื่องจากมีสเปกแรงแซงรถตัวท็อปจากค่ายดังอย่าง Tesla Model S และซุปเปอร์คาร์หลายๆคันเลยทีเดียว ซึ่งเราจะมาเปรียบเทียบให้เห็นกันว่า Lucid ทำออกมาได้ดีกว่า Tesla ในส่วนไหนบ้าง ดังนี้ 

สเปกรถยนต์ไฟฟ้า Lucid Air Sapphire 

อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 2 วินาที

อัตราเร่ง 0-160 km/h ภายใน 4 วินาที

1,200 แรงม้า

วิ่ง 1/4 จบภายใน 8.xx วินาที

ระบบขับเคลื่อน Tri-motor

ความเร็วสูงสุด 322 km/h++

สเปกรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model S 

อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 2.1 วินาที

อัตราเร่ง 0-160 km/h ภายใน 4.19 วินาที

1,033 แรงม้า

วิ่ง 1/4 จบภายใน 8.83 วินาที

ระบบขับเคลื่อน Tri-motor

ความเร็วสูงสุด 322 km/h

Lucid Air Sapphire รถ EV สเปกแรงกว่า Tesla Model S ชี้อนาคตท้าชนซุปเปอร์คาร์

เหตุผลที่ Lucid Air Sapphire ทำได้ดีกว่า Tesla Model S จะทำให้ทุกคนร้องอ๋อ เพราะคุณ Peter Rawilson ซึ่งเป็น CEO ของทาง Lucid Air นั้นเป็นผู้ให้กำเนิดทั้งระบบไฟฟ้า, มอเตอร์ และแบตเตอรี่ ของทาง Tesla Model S ตั้งแต่ปี 2010 นั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ Lucid Air Sapphire จะทำได้ดีกว่า

ซึ่งอาจดูแตกต่างกันไม่มาก แต่ด้วยราคาของ Lucid Air Sapphire ที่มีราคาราวกว่า 9 ล้านบาท ส่วน Tesla Model S มีราคาถูกกว่าคือ 5 ล้านบาท ก็ถือว่าอาจยังไม่สามารถตีตลาดกับเทสลาได้มากพอที่คนจะยอมจ่ายเพื่อซื้อพละกำลังที่แตกต่างกันไม่มากนัก

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

ถึงความแตกต่างระหว่าง Lucid Air Sapphire และ Tesla Model S จะไม่มากนักแต่บางคนที่ชื่นชอบความเร็วก็อาจจะพร้อมยอมจ่ายเพื่อความสนุกในการขับขี่ซึ่งนี่เป็นฐานกลุ่มลูกค้าของรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการการขับขี่ที่สนุกไม่แพ้รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันแบบเดิม

อย่างไรก็ตามข่าวสารนี้ทำให้เราเห็นได้ชัดว่า รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV ได้พัฒนาจนสามารถมีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่ารถยนต์ระดับซุปเปอร์คาร์และอาจทำให้การขับขี่สนุกเทียบเท่าได้แล้วในปัจจุบัน แต่ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้าก็คือความประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง และการลดการปล่อยมลพิษได้ในระยะยาว 

ขณะนี้ได้มีการเริ่มแข่งขันรถแข่ง F-1 ด้วยรถแข่งไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า Electric F-1 หรือ Formula-E ซึ่งจะเริ่มใช้งานในการแข่งขันจริงในปี 2035 อย่างเต็มตัว ชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากพอที่จะนำไปแข่งขันความเร็วได้แล้ว และอนาคตเราจะได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าระดับซุปเปอร์คาร์อย่างแน่นอน

ที่มา : motortrend.com

related