SHORT CUT
ทดลองใช้ Virtual Reality เพื่อช่วยผู้ป่วย Hoarding Disorder ฝึกปล่อยสิ่งของในบ้านเสมือนก่อนลงมือจัดจริง ทางเลือกใหม่ที่อาจเปลี่ยนชีวิต
Hoarding disorder หรือ “โรคเก็บของ” เป็นภาวะทางจิตที่มีคนเป็นราว ๆ คนหนึ่งในสี่สิบในสหรัฐฯ ซึ่งผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะสะสมสิ่งของจำนวนมหาศาล แม้รู้ว่ามันสร้างความไม่เป็นระเบียบ ลดคุณภาพชีวิต และเสี่ยงต่อความปลอดภัย เช่น ไฟไหม้ ความชื้น หรือแมลงและสัตว์นำพาความเจ็บป่วยเข้ามา ระบบนี้ส่งผลให้หลายพื้นที่ในบ้านไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ทั้งห้องครัว เตียงนอน หรือห้องน้ำ
ถึงแม้ว่าจะมีวิธีรักษาโรคนี้ที่ถือว่ามาตรฐานอยู่แล้ว เช่น Cognitive Behavior Therapy (CBT) หรือการเยี่ยมบ้านของผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะหาวิธีใหม่ ๆ ที่ช่วยลดความวิตกกังวล และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้สะดวกขึ้น เพราะหลายคนไม่อยากมีคนนอกเข้ามาในบ้าน หรือไม่อยากเผชิญหน้ากับสิ่งของที่ติดอยู่กับจิตใจของตนเองอย่างตรงไปตรงมา
ทีมนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้นำเสนอแนวทางใหม่โดยใช้เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) เพื่อช่วยให้ผู้ป่วย hoarding disorder ได้ฝึกปล่อยของที่มีความผูกพันกับตนเองในสถานการณ์จำลองของบ้านตัวเอง ก่อนจะลงมือจัดจริงในชีวิตประจำวัน การที่ผู้ป่วยสามารถเห็นภาพบ้านของตนเองในรูปแบบ 3D ที่สร้างจากรูปถ่ายของชีวิตจริงช่วยให้สิ่งของและสิ่งแวดล้อมนั้นคุ้นเคย และลดความตึงเครียดเมื่อเริ่มกระบวนการปล่อยของ
การทดลองนำร่องอยู่ระยะเวลา 16 สัปดาห์ โดยผู้เข้าร่วมทั้งหมดได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค hoarding disorder และอายุตั้งแต่ 60–73 ปี ช่วงอายุที่พบพฤติกรรม hoarding สูงที่สุด กล่าวคืออัตราระหว่างวัยสูงขึ้นไปถึงประมาณ 6% ผลที่ได้คือประมาณ 78% ของผู้เข้าร่วมบอกว่า VR ช่วยให้พวกเขาปล่อยสิ่งของในชีวิตจริงได้มากขึ้นหลังจากการฝึกในโลกเสมือน
งานวิจัยนี้ต่อยอดจากการศึกษาในปี 2020 จาก University of Chicago ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีปัญหา hoarding รู้สึกอยากมีบ้านที่สะอาดขึ้น เมื่อได้ชมภาพบ้านตัวเองในสภาวะ “ปราศจากความรก” ผ่าน VR แต่สิ่งที่แตกต่างของงานสแตนฟอร์ดคือผู้เข้าร่วมได้ มีส่วนร่วมในการคัดแยกและทิ้งของ ซึ่งช่วยให้เกิดการแยกความรู้สึกผูกพันกับสิ่งของแต่ละชิ้นมากขึ้น เป็นก้าวสำคัญทางจิตใจในการปล่อยวาง
นอกจากประโยชน์เรื่องการฝึกปล่อยสิ่งของแล้ว เทคโนโลยี VR ยังช่วยขจัดอุปสรรคหลายอย่างของการรักษาแบบดั้งเดิม เช่น ความยากลำบากในการเข้าถึงบ้านจริงของผู้ป่วย ความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว หรือความไม่สะดวกในการเดินทางของนักบำบัดผู้เชี่ยวชาญ การรักษาผ่าน VR อาจทำให้ผู้ป่วยมีทางเลือกที่ปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้นในการเผชิญกับภาระทางจิตใจที่สัมพันธ์กับ hoarding disorder
แม้งานวิจัยดังกล่าวยังอยู่ในช่วงทดลอง และยังไม่สามารถแทนที่การรักษาที่มีอยู่ได้โดยสิ้นเชิง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าน่าตื่นเต้นและเป็นไปได้ที่จะนำมาขยายผลในการดูแลผู้ป่วยในวงกว้าง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งพบการ hoarding มากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีการรักษาอื่น ๆ ที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ดี เช่น CBT และการให้คำปรึกษาเชิงโครงสร้าง รวมถึงการป้องกันไม่ให้สิ่งของเข้าสู่บ้านตั้งแต่ต้น ผู้ที่เกี่ยวข้องควรตระหนักว่า การมีความเมตตาต่อตัวเองและการยอมรับว่ามีปัญหา คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
ที่มา : nationalgeographic
ข่าวที่เกี่ยวข้อง