svasdssvasds

ทำไมเราเลิกคลิก Rage bait ไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าดูแล้วต้องไม่ชอบ

ทำไมเราเลิกคลิก Rage bait ไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าดูแล้วต้องไม่ชอบ

Rage bait: ทำไมคอนเทนต์ชวนของขึ้นถึงไวรัลได้ทุกวัน และอะไรทำให้เราตกหลุมความโกรธบนโซเชียลอย่างไม่รู้ตัว

SHORT CUT

  • Rage bait คือคอนเทนต์ที่ตั้งใจยั่วให้คนโกรธ เพราะความโกรธทำให้ผู้ชมคลิก คอมเมนต์ และแชร์ได้เร็วที่สุด
  • อัลกอริทึมและเงินคือแรงผลักหลัก ยิ่งยอดวิวสูง ผู้สร้างยิ่งได้เงิน ทำให้ต้องผลิตของแรงขึ้นเรื่อย ๆ
  • แม้ทำให้ดังเร็ว แต่ไม่ยั่งยืน ผู้สร้างมักเหนื่อย หมดไฟ และถูกระบบบีบให้ตามกระแสตลอดเวลา

Rage bait: ทำไมคอนเทนต์ชวนของขึ้นถึงไวรัลได้ทุกวัน และอะไรทำให้เราตกหลุมความโกรธบนโซเชียลอย่างไม่รู้ตัว

“Rage bait” ถูกเลือกเป็นคำแห่งปี 2025 เพราะอินเทอร์เน็ตทุกวันนี้เต็มไปด้วยคอนเทนต์ที่ตั้งใจยั่วให้คนโกรธ และเราก็มักหลงกดเข้าไปดูทุกครั้ง

ทุกวันนี้ ความโกรธกำลังกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีบนอินเทอร์เน็ต ไม่แพ้ความตื่นเต้นหรือความบันเทิงแบบเดิม ๆ เลย สิ่งที่เรียกว่า “Rage bait” คือคอนเทนต์ที่ตั้งใจยั่วให้เราหงุดหงิด โมโห หรือรู้สึกว่าต้องเข้าไปด่าอะไรสักอย่าง จนที่สุดแล้วเราก็คลิก แชร์ คอมเมนต์ ซึ่งทั้งหมดนี้กลายเป็นพลังที่ผลักคอนเทนต์ชนิดนี้ให้ดังขึ้นไปอีก

มนุษย์เรา 'ตอบสนองต่อสิ่งเลวร้าย' เป็นเรื่องปกติ 

ในอดีต เราเคยเจอรูปแบบของคอนเทนต์ทำนองนี้มาหลายยุค ตั้งแต่ข่าวซุบซิบแท็บลอยด์ รายการทีวีสุดดราม่า ไปจนถึงคดีอาชญากรรมที่เอามาขยายความ แต่ความต่างคือ Rage Bait ยุคนี้มักเกิดจาก “ผู้ใช้ทั่วไป” บนโซเชียล ผู้ที่ต้องการยอดวิว ต้องการรายได้จากแพลตฟอร์ม และรู้ดีว่าของแรงแบบนี้ขายได้เสมอ เมื่อบวกกับระบบอัลกอริทึมที่ดันคอนเทนต์ที่มีปฏิกิริยาเยอะ ๆ ก็ยิ่งทำให้ไฟลุกเร็วกว่าเดิมหลายเท่า

Rage bait มักมีรูปแบบเด่นชัดเหมือนสูตรสำเร็จ เช่น คำพูดมั่นใจมาก ๆ แต่ผิดหรือแรงแบบไร้เหตุผล คลิปทำอะไรน่าขัดใจสุด ๆ หรือความคิดเห็นสุดโต่งที่ตั้งใจให้เรารู้สึกว่า “ไม่ไหว ต้องคอมเมนต์แล้ว!” ความไม่มีความละเอียดอ่อนคือหัวใจของมัน เพราะยิ่งสุดโต่งเท่าไหร่ คนก็ยิ่งตอบสนองเร็วเท่านั้น

สมองมนุษย์ถูกสร้างมาให้ตอบสนองต่อภัยคุกคามอย่างรวดเร็วเพื่อเอาตัวรอด ดังนั้นเมื่อเราเห็นคอนเทนต์ที่ผิดปกติ น่าหงุดหงิด หรือขัดแย้งกับความเชื่อของเรา สมองจะตีความว่า “นี่คือสิ่งสำคัญ ต้องตรวจสอบเดี๋ยวนี้” ทำให้เราคลิกก่อนคิดเสมอ

นี่คือยุคแห่ง Rage bait

นักวิจัยแนะนำว่า วิธีสังเกตที่ดีที่สุดคือ “ดูที่คนโพสต์” เขาเป็นใคร เคยโพสต์อะไรอีกบ้าง และมีแรงจูงใจอะไรในการสร้างคอนเทนต์แบบนี้ บ่อยครั้งผู้โพสต์ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่พูดเลยด้วยซ้ำ แต่ใช้ความโกรธของผู้ชมเป็นอาวุธในการดันยอดวิวขึ้นไปเรื่อย ๆ

ที่น่ากลัวคือยุคของปัญญาประดิษฐ์กำลังทำให้ Rage bait ขยายตัวเร็วกว่าเดิมหลายเท่า เพราะ AI สามารถผลิตภาพปลอม วิดีโอปลอม หรือสถานการณ์สุดโต่งได้ง่ายอย่างเหลือเชื่อ แสดงให้เห็นว่าคอนเทนต์แบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดสักคำเดียว ก็สามารถทำให้คนโกรธได้แล้ว

ด้านธุรกิจ Rage bait เติบโตบนแรงจูงใจทางการเงินชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะในระบบที่แพลตฟอร์มจ่ายเงินตามยอดวิว เช่น TikTok, YouTube หรือ Meta ผู้สร้างคอนเทนต์จำนวนมากยอมผลิตอะไรก็ได้ที่ “ไวรัล” เพราะทุกวิวคือรายได้ และทุกคอมเมนคือคะแนนที่ผลักคลิปให้ขึ้นไปสูงกว่าเดิม

วิธีหลีกเลี่ยง Rage bait

นักวิจัยหลายคนชี้ว่า หนึ่งในวิธีหลุดจากกับดัก rage bait คือเตือนตัวเองเสมอว่า “สิ่งที่เห็นคือการแสดง” มากกว่าจะเป็นความคิดเห็นจริงจังของใครสักคน การรู้ทันว่าคอนเทนต์ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้เราหงุดหงิด จะช่วยให้เราไม่รีบตอบโต้ทันที

ก่อนจะคอมเมนต์หรือแชร์อะไร ลองถอยหนึ่งก้าวแล้วถามตัวเองว่าโพสต์นี้ตั้งใจให้เราโกรธหรือเปล่า ถ้าตั้งสติได้ อาจพบว่าเราไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมเลยก็ได้ หรือถ้าอยากกลับมาอ่านอีกที ก็ให้เป็นการเลือกที่เกิดจากสติ ไม่ใช่อารมณ์พุ่งนำหน้า

สิ่งสำคัญคือยิ่งเราไม่ไปยุ่งกับ rage bait มากเท่าไหร่ ระบบก็จะส่งคอนเทนต์แบบนั้นให้เราน้อยลงในอนาคต ผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกตรงกันว่า ฟีดของเราเป็นแบบไหน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเลือกมีปฏิกิริยาด้วย “ถ้าคุณชอบคลิปตลก ๆ ฟีดคุณก็จะเต็มไปด้วยคลิปแบบนั้น” นี่คือหลักการง่าย ๆ ของอัลกอริทึม

อีกวิธีหนึ่งคือเช็กความน่าเชื่อถือของผู้โพสต์ ถ้าคน ๆ เดียวกันมักแชร์เรื่องสุดโต่ง ชอบยั่วยุ ชอบสร้างเรื่องชวนโกรธ ก็มีแนวโน้มสูงว่าเขากำลังทำเพราะหวังยอดวิวมากกว่าต้องการสื่อสารอย่างมีความหมาย การรับรู้ตรงนี้ทำให้เราไม่จำเป็นต้องไปมีอารมณ์ร่วมกับเขา

นักวิจัยหลายคนยังแนะนำให้ “ฟังความรู้สึกของตัวเอง” ระหว่างเสพคอนเทนต์ด้วย ถ้าเรารู้สึกหงุดหงิด แย่ใจ ไม่สบายอารมณ์ หรือถูกทำให้รู้สึกด้อยค่าอยู่บ่อยครั้ง อาจถึงเวลาต้องเลิกติดตาม กด unfollow หรือกดบล็อกไปเลยก็ยังได้ สุขภาพใจสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด

สุดท้าย การลดการใช้โซเชียลและหันไปเสพสื่อแบบยาว ๆ ก็ช่วยได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นดูหนังยาว อ่านนิยาย หรือฟังเพลงเต็มอัลบั้ม การจมอยู่กับผลงานที่ต้องใช้เวลาและสมาธิ ช่วยตัดวงจรของคอนเทนต์แบบสั้น ๆ ที่กระแทกอารมณ์แรง ๆ บนโซเชียลให้ช้าลง

ที่มา : stanford abc

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

related