จากหมาป่าดุร้ายสู่เพื่อนรักข้างกาย: หลักฐานโบราณคดีเผยว่ามนุษย์ยุคหินเก่าอาจเป็นผู้เริ่มเลี้ยงและคัดเลือกหมาป่าตั้งแต่กว่า 36,000 ปีก่อน
หลายคนอาจเคยได้ยินทฤษฎีที่ว่า ในอดีตกาลหมาป่า “ทำให้ตัวเองเชื่อง” โดยเข้ามาหาเศษอาหารตามหมู่บ้านมนุษย์จนคุ้นเคย แล้วค่อยกลายเป็นหมาบ้าน แต่หลักฐานใหม่บอกว่ามนุษย์อาจเป็นฝ่ายเริ่มเลี้ยงพวกมันตั้งแต่ยุคหินเก่า และไม่ใช่หมาป่าเป็นฝ่ายเลือกเราก่อน
นักวิทยาศาสตร์พบฟอสซิลหมายุคเก่าแก่กว่า 36,000 ปีในยุโรปและเอเชีย ซึ่งต่างจากหมาป่า เช่น ตัวเล็กกว่า จมูกสั้น เขี้ยวเล็ก และพันธุกรรมบ่งชี้ว่ามีการเลี้ยงในหลายพื้นที่พร้อมกัน เหตุการณ์นี้เกิดก่อนมนุษย์ทำเกษตรหลายหมื่นปี ทำให้แนวคิด “หมาป่ามากินขยะตอนเราตั้งถิ่นฐาน” ดูไม่น่าใช่
ปัญหาของทฤษฎีเดิมคือ หมาป่าเป็นสัตว์นักล่าและอาจทำร้ายคน ชุมชนโบราณมักฆ่ามันทิ้งหากเข้าใกล้เกินไป ตรงกันข้าม หลักฐานโบราณคดีและเรื่องเล่าจากชนเผ่าหลายแห่งบอกว่า คนมักจับลูกหมาป่ามาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก เพราะช่วงนี้มันเชื่องง่ายและผูกพันกับคนได้ บางวัฒนธรรมเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน บางแห่งเลี้ยงเพื่อใช้ขนหนังทำเสื้อผ้าในยุคน้ำแข็ง
นักวิจัย "มีทเจอ แกร์มงเพร" (Mietje Germonpré) ชาวเบลเยียม สันนิษฐานว่า มนุษย์ยุคหินเก่ามีแรงจูงใจทั้งด้านประโยชน์ใช้สอยและความหมายเชิงสัญลักษณ์ต่อหมาป่า จึงนำลูกหมาป่ามาเลี้ยงและคัดเลือกตัวที่เชื่องที่สุดผสมพันธุ์ต่อเนื่องจนเกิดหมาบ้าน การค้นพบหลุมฝังสุนัขและสุนัขจิ้งจอกร่วมกับมนุษย์ แสดงถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้ง
ตัวอย่างเปรียบเทียบใกล้ยุคปัจจุบันคือชาวอะบอริจินในออสเตรเลียที่จับลูกดิงโกมาเลี้ยงแต่ไม่เพาะพันธุ์ ทำให้ไม่เกิดการเชื่องเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ดี หากพฤติกรรมนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ กับหมาป่าในอดีต ก็อาจสร้างประชากรย่อยที่คุ้นคนมากขึ้น และเป็นรากฐานให้เกิดหมาบ้านในที่สุด
แม้คำตอบสุดท้ายเรื่องสถานที่และเวลาที่หมาถูกเลี้ยงครั้งแรกจะยังไม่ชัดเจน แต่แนวคิดใหม่ชี้ว่า จุดเริ่มต้นของ “เพื่อนรักสี่ขา” ไม่ได้มาจากการที่พวกมันเลือกเราเพียงฝ่ายเดียว หากแต่มนุษย์โบราณเลือกพวกมันด้วยใจและเหตุผลนานัปการ ความผูกพันนี้จึงอาจเก่าแก่กว่าที่เราเคยคิดไว้หลายหมื่นปี