พาไปสำรวจ 5 แม่เหล็กสำคัญที่นิยามความเป็น "ดูไบ" และดึงดูดผู้คนจากทุกมุมโลกให้ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต
ดูไบ : มีอะไรดี - อะไรคือแม่เหล็กจากเมืองดูไบ ที่ทำให้ นักเดินทางต้องไปสักครั้ง
จากดินแดนที่เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงกลางทะเลทราย ดูไบได้พลิกโฉมตัวเองสู่การเป็นมหานครระดับโลกที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักเดินทางทั่วโลก
อะไรคือพลังที่ทำให้เมืองแห่งนี้โดดเด่นและสร้างความประทับใจไม่รู้ลืม ? คำตอบไม่ได้อยู่แค่ในความหรูหรา แต่แฝงอยู่ในวิสัยทัศน์อันก้าวไกลที่ถูกถ่ายทอดผ่านสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่งและปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนใครในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
SPRiNG จะพาไปสำรวจ 5 แม่เหล็กสำคัญที่นิยามความเป็น "ดูไบ" และดึงดูดผู้คนจากทุกมุมโลกให้ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต
หากจะหาสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความทะเยอทะยานของดูไบได้อย่างชัดเจนที่สุด คงไม่มีสิ่งใดเทียบได้กับ เบิร์จคาลิฟา หรือ บุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ (Burj Khalifa) ตึกระฟ้าที่ตั้งตระหง่านใจกลางเมืองด้วยความสูงกว่า 828 เมตร ครองตำแหน่ง "สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก"
การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากดอกพลับพลึงแมงมุม (Spider Lily) ไม่เพียงแต่สร้างความสง่างาม แต่ยังเป็นเลิศในเชิงวิศวกรรมที่ช่วยให้อาคารสามารถยืนหยัดต้านทานแรงลมบนความสูงเสียดฟ้าได้
เบิร์จคาลิฟา จึงไม่ใช่แค่ตึก แต่เป็นอนุสรณ์แห่งความสำเร็จและสัญลักษณ์แห่งความทะเยอทะยาน
หมู่เกาะปาล์มจูไมราห์ (The Palm Jumeirah) โครงการเมกะโปรเจกต์ที่เปลี่ยนผืนทะเลให้กลายเป็นหมู่เกาะเทียมรูปทรงต้นปาล์มอันเป็นเอกลักษณ์ "
เกาะแห่งนี้คือบทพิสูจน์ถึงความกล้าและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักคือ "ลำต้น" (The Trunk) ที่เป็นศูนย์กลาง, "กิ่งปาล์ม" (The Fronds) ซึ่งเป็นที่ตั้งของวิลล่าสุดหรู และ "เสี้ยววงเดือน" (The Crescent) กำแพงกันคลื่นที่โอบล้อมเกาะและเป็นที่ตั้งของโรงแรมระดับโลกอย่าง Atlantis, The Palm ที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงที่พักอาศัย แต่เป็นศูนย์รวมไลฟ์สไตล์และความบันเทิงครบวงจร ตั้งแต่สวนน้ำ สวนสัตว์น้ำ ไปจนถึงจุดชมวิว The View at The Palm ที่ทำให้เห็นภาพความยิ่งใหญ่ของโครงการนี้ได้อย่างเต็มตา
บุรจญ์อัลอาหรับ (Burj Al Arab) คือไอคอนแห่งความหรูหราที่ทั่วโลกจดจำได้ทันที ด้วยสถาปัตยกรรมรูปทรงใบเรือใบของเรืออาหรับโบราณ (Dhow) ที่ตั้งอยู่บนเกาะส่วนตัว
โรงแรมแห่งนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น "โรงแรมระดับ 7 ดาวแห่งแรกของโลก" ซึ่งแม้จะเป็นคำนิยามอย่างไม่เป็นทางการ แต่ก็สะท้อนถึงมาตรฐานการบริการและความพิเศษที่เหนือกว่าใคร
ทุกรายละเอียดของที่นี่ถูกสร้างขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์เหนือจินตนาการ ตั้งแต่ห้องพักที่เป็นห้องสวีทสองชั้นทั้งหมด, บริการบัตเลอร์ส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง, การตกแต่งภายในด้วยทองคำแท้ ไปจนถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์ที่เคยกลายเป็นสนามเทนนิสลอยฟ้ามาแล้ว บุรจญ์อัลอาหรับไม่ได้เป็นเพียงโรงแรม แต่เป็นจุดหมายปลายทางที่นิยามคำว่า "ความหรูหรา" ขึ้นมาใหม่
ท่ามกลางตึกระฟ้าและโครงการขนาดมหึมา ดูไบเฟรม (Dubai Frame) โดดเด่นขึ้นมาด้วยแนวคิดที่ลึกซึ้งและเรียบง่าย สถาปัตยกรรมรูปทรง "กรอบรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก" แห่งนี้ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของดูไบ
ตำแหน่งที่ตั้งของมันถูกเลือกมาอย่างดี เมื่อมองผ่านกรอบรูปไปทางทิศเหนือ จะเห็นภาพของย่านเมืองเก่า (Old Dubai) ในขณะที่ทิศใต้จะเผยให้เห็นเส้นขอบฟ้าของเมืองใหม่ (New Dubai) ที่ทันสมัย
การเข้าชมเปรียบเสมือนการเดินทางข้ามเวลา เริ่มจากพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องรากเหง้าของเมือง ขึ้นไปยัง สกายเด็ค (Sky Deck) ที่มีพื้นกระจกใสสุดตื่นเต้น และปิดท้ายด้วยการท่องไปในอุโมงค์ที่จำลองภาพอนาคตของดูไบในอีก 50 ปีข้างหน้า
สำหรับ ‘ช็อกโกแลตดูไบ’ ถือว่าโด่งดังไปทั่วโลกโซเชียลมีเดีย โดยมีจุดเริ่มต้นจากแบรนด์ Fix Dessert Chocolatier ของ Sarah Hamouda
ช็อกโกแลตแท่งสอดไส้คนาเฟห์ (Knafeh) ขนมหวานอาหรับ และถั่วพิสตาชิโอ ได้สร้างกระแสไวรัลจากคลิป ASMR บน TikTok จนกลายเป็นของฝากและสินค้าที่นักท่องเที่ยวต้องตามหา แม้จะหาซื้อได้ยากและมีราคาสูง ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าดูไบไม่ได้เป็นเพียงผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางที่สามารถสร้างเทรนด์ระดับโลกที่ผู้คนให้ความสนใจได้อีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง