หลังเป็นเรื่องดังในสังคม เหตุเพจดังแชร์คลิปวงจรปิด เหตุการณ์ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปตบหน้าคนเสิร์ฟ ที่ห้ามไม่ให้สูบบุหรี่ในพื้นที่ห้ามสูบของโรงแรม โดยระบุว่าชายคนดังกล่าวมากับข้าราชตำแหน่งใหญ่ในอยุธยา
แต่ท้ายที่สุดเรื่องจบลงได้ เมื่อนายสุรสีห์ แห่งศรีสุวรรณ นัดกัน 3 ฝ่าย กับคู่กรณี และตำรวจ ที่สภ.เมือพระนครศรีอยุธยา ไปไกล่เกลี่ยกับนาย นายปนิตา คชประภา อายุ 25 ปี ที่ทำหน้าที่พนักงานเสิร์ฟในวันดังกล่าวจนเป็นเหตุให้ถูก ตบหน้า สาเหตุเพราะห้ามไม่ให้สูบบุหรี่ภายในโรงแรม
เรื่องนี้ คำถามที่ประชาชนทั่วไปอาจยังมีข้อสงสัย โดยมีผู้ใช้ชื่อ Son Jaidee สอบถามไปยังมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ว่า กรณีที่มีการตบหน้าพนักงาน ที่ไม่ให้แขกสูบบุหรี่ในภัตตาคารของโรงแรม “เราจะช่วยสังคมไทยของเราให้สะอาดปลอดภัย มีจิตสำนึกของการเป็นพลเมืองดี ช่วยดูแลผู้คนในสังคมไทย เราให้มีความผาสุขมากกว่านี้กันต่อไปได้อย่างไร?
ฟังคำตอบจาก นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งแต่เริ่มทำงานรณรงค์ไม่สูบุหรี่ เราตั้งเป้าหมายว่า จะเชิญชวนคนไทยช่วยกัน “สร้างค่านิยมที่ไม่สูบบุหรี่” โดยเฉพาะในที่สาธารณะเพราะตามหลักแล้วค่านิยมในสังคมจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของคนในสังคมเดี๋ยวนี้คนสบูบุหรี่ส่วนใหญ่เขาจะไม่สูบในที่สาธารณะกันแล้ว
นพ.ประกิต กล่าวว่า เคยมีรายงาน ที่ตีพิมพ์ พ.ศ.2550 เปรียบเทียบผลการสัมภาษณ์ผู้สูบบุหรี่ในประเทศต่างๆ ถึงการสูบบุหรี่ในภัตตาคารที่อยู่ในร่ม (indoor restaurant) พบว่า ผู้สูบบุหรี่ไทย จำนวนถึง 89.9% เห็ฯด้วยกับการห้ามสูบบุหรี่ในภัตตาคารที่อยู่ในร่ม เทียบกับประเทศออสเตรเลียที่เห็นด้วย 83.9% สหรัฐอเมริกา 43.8% และจีน 21.2 % แม้ในอเมริกา มีผู้สูบบุหรี่เห็นด้วยกับการห้ามสูบในภัตตาคารเพียง 43.8% ผู้สูบบุหรี่ก็ไม่สูบในภัตตาคาร เพราะอเมริการมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
“การสร้างค่านิยมในสังคมเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ถูกต้อง จึงต้องประกอบด้วย การณรรงค์ให้ความรู้ในช่องทางต่างๆ สนับสนุนด้วยการมีกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจัง เพราะลำพังการรณรงค์ให้ความรู้ ไม่สามารถทำให้คนปฏิบัติตามได้ทั้งสังคม กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายจะเข้ามาช่วยจัดการกับคนส่วนน้อย ที่ต้องมีกฎหมายห้ามจึงจะทำตามกติกาและค่านิยมที่ถูกต้องในสังคม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อยุธยา แสดงว่าเราต้องพยายามกันต่อไป” นพ.ประกิต กล่าว