svasdssvasds

ประมงพื้นบ้านล่องเรือบุกเจ้าพระยา รณรงค์งดจับ-ซื้อ-ขายสัตว์น้ำวัยอ่อน

ประมงพื้นบ้านล่องเรือบุกเจ้าพระยา รณรงค์งดจับ-ซื้อ-ขายสัตว์น้ำวัยอ่อน

#ทวงคืนน้ำพริกปลาทู ชาวประมงพื้นบ้านรวมตัวกันจัดกิจกรรมร่องเรือบุกกรุง เตรียมยื่นหนังสือให้กระทรวงเกษตรฯควบคุมการซื้อขายสัตว์น้ำวัยอ่อน หลังวิกฤตอาหารทะเลไทยรุนแรง

#ทวงคืนน้ำพริกปลาทู ชาวประมงพื้นบ้านขอพื้นที่รณรงค์หยุดจับ-ขาย-ซื้อ สัตว์น้ำวัยอ่อน เพราะวิกฤตอาหารทะเลไทยกำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยพี่น้องประมงพื้นบ้านได้เดินทางไกลจากปัตตานีผ่านทะเลอ่าวไทยมาถึงแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ววันนี้ พร้อมเตรียมยื่นหนังสือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดนโยบายควบคุมพฤติการณ์ดังกล่าว

วันนี้ (6 มิ.ย.65) ชาวประมงพื้นบ้าน สมาคมรักษ์ทะเลไทย และสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย จาก 23 จังหวัด ทั้งจากฝั่งอ่างไทยและอันดามัน ร่วมกันจัดกิจกรรมล่องเรือเดินทางไกล “ทวงคืนน้ำพริกปลาทู” หยุดจับ-ขาย-ซื้อ สัตว์น้ำวัยอ่อน โดยจุดเริ่มต้นเดินเรือจากปัตตานีมุ่งหน้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร และจะมุ่งเดินทางต่อไปยังรัฐสภาสัปปายะสภาสถาน เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อตัวแทนรัฐบาลเร่งบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.ก.การประมง ปี 2558 ให้กำหนดขนาดสัตว์น้ำวัยอ่อน เพื่อยุติการตัดวงจรชีวิตสัตว์ทะเล พร้อมกำหนดโควตาที่เป็นธรรมในการจับสัตว์น้ำ

เดินทางถึงเจ้าพระยาแล้ววันนี้ การรณรงค์นี้นำโดย นายปิยะ เทศแย้ม นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย โดยระบุว่า ปัจจุบันกระบวนการผลิตอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทย กำลังส่งผลกระทบถึงระบบนิเวศทางทะเล และต่อชุมชนชายฝั่ง ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาล ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่เข้าถึงอาหารทะเลได้น้อยลง กลุ่มสมาชิกประมงจึงได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ภาครัฐกำหนดนโยบายและประกาศมาตรการควบคุม และส่งเสริมให้ผู้ขาย ผู้บริโภค และชาวประมงตระหนักถึงความสำคัญของวิกฤตการจับสัตว์น้ำวัยอ่อนอย่างจริงจัง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ในสถานการณ์ที่ทั้งโลกกำลังขาดแคลนอาหาร เรากลับปล่อยให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ซื้ออาหารคุณภาพในราคาที่แพงขึ้น ๆ ทั้งที่เรามีอาหารทะเลจำนวนมากมายมหาศาล แต่กำลังจะกลายเป็นอาหารที่มีราคาสูงจนผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลางไม่สามารถเข้าถึงได้

“วันนี้เราเห็นกันแล้วว่า การจับ - การซื้อ - การขาย - การบริโภค “สัตว์น้ำวัยอ่อน” ได้ทำลายโอกาสทางเศรษฐกิจนับหมื่นล้านบาทต่อปี ทำร้ายชาวประมงพื้นบ้านขนาดเล็กหลายแสนคนที่จะมีรายได้เลี้ยงชีพ ที่สำคัญคือ เป็นการทำลายโอกาสของประชาชนคนเล็กคนน้อยทั่วประเทศที่จะได้เข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพ ด้วยการปล่อยให้มีการนำ ”อาหารทะเล” น้ำหนักมากกว่า “300,000,000” กิโลกรัม (สามร้อยล้าน) ถูกป่นในราคาถูกๆ โดยผลประโยชน์ตกอยู่กับกลุ่มทุนอุตสาหกรรมประมงและกลุ่มประกอบการอาหารสัตว์เท่านั้น”

ข้อเรียกร้องต่อรัฐ

นายกสมาคมสมาพันธ์ประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย เสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐว่า รัฐควรกำหนดสัดส่วนโควตาการจับสัตว์น้ำที่เป็นธรรม เพราะตอนนี้ประมงพาณิชย์ได้โควตามากถึง 82% ในขณะที่ ประมงพื้นบ้านทั่วประเทศเข้าถึงทรัพยากรได้น้อยกว่าแค่ 18% จนทำให้ชาวประมงเผชิญกับความยากจน

“สัดส่วนนี้ทำให้ประมงพื้นบ้านขนาดเล็กจับสัตว์น้ำได้แค่ 18% เท่านั้น แม้จะไม่ได้กำหนดจำนวนวัน แต่เขาไม่มีโอกาส เพราะว่าเรือประมงพื้นบ้าน 50,814 ลำ เขารอจับสัตว์น้ำตัวเต็มวัย ต่อให้ประมงขนาดเล็กจับสัตว์น้ำทุกวันในรอบปี ก็ไม่มีโอกาสเพราะสัตว์น้ำขนาดเล็กขนาดใหญ่จำนวนมากถูกกอบโกยจากประมงที่มีเครื่องมือศักยภาพสูงกว่าไปหมดแล้ว”

และเนื่องในวันที่ 8 มิ.ย. 65 ที่จะถึงนี้เป็นวันทะเลโลกหรือวันมหาสมุทรโลก จึงเหมาะสมแล้วที่จะต้องออกมารณรงค์ในวันนี้ ด้านนาย วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ได้ตั้งแคมเปญ “ก่อนปลาทูจะหมดไทยขอเร่งบังคับใช้กฎหมายเลิกจับสัตว์น้ำวัยอ่อน” ผ่านเว็บไซต์ change.org เพื่อเรียกร้องให้ประเทศไทยหยุดซื้อ หยุดจับ หยุดกินสัตว์น้ำวัยอ่อน

นาย วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี ช่วยกันส่งเสียงเพื่อให้รัฐบาลเร่งบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.ก.การประมง ปี 2558 มาตรา 57 “ห้ามมิให้ผู้ใดจับสัตว์น้ำหรือนำสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็กกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดขึ้นเรือประมง” โดยให้มีการกำหนดขนาดสัตว์น้ำวัยอ่อนทันที เพื่อยุติการตัดวงจรชีวิตสัตว์ทะเล พร้อมกำหนดโควตาที่เป็นธรรมในการจับสัตว์น้ำ

“ก่อนหน้านี้ ประเทศไทยเรามีผลผลิตปลาทูปีละแสนกว่าตัน แต่ 4-5 ปีหลัง ลดฮวบฮาบเหลือหมื่นกว่าตันต่อปี ปลาทูไทยหายไป เราไปพบสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจคือ ผลการจับสัตว์น้ำขนาดเล็กถูกรายงานเป็นผลการจับที่สูงที่สุดของบรรดาสัตว์น้ำทุกชนิด”

เมื่อการจับเอาสัตว์น้ำวัยอ่อนขึ้นมา ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ และรวมถึงเรื่องเศรษฐกิจด้วย ดังนั้นทุกฝ่ายต้องมาร่วมกัน ทั้งชาวประมง ผู้ซื้อ ผู้ขายคนกลาง และผู้บริโภค ให้ตระหนักเรื่องนี้ และภาครัฐไม่ควรโยนภาระให้ชาวประมง ในฐานะผู้ผลิต ผู้บริโภคไม่ซื้อเท่านั้น แต่ต้องบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.ก.การประมง ปี 2558 ที่มีกำหนดขนาดสัตว์น้ำวัยอ่อนทันที

“อันนี้ระบุชัดเจนใน พ.ร.ก.การประมง ปี 2558  ทั้งมาตรา 57 ซึ่งกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดขนาดและชนิดพันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อน ส่วนอีกมาตราเพื่อแก้ไขปัญหา หากติดอวนมา 1-2 ตัวจะผิดหรือปล่า ก็จะมีอยู่ในมาตรา 71(2) ที่พูดถึงเรื่องการออกข้อกำหนด ซึ่งรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะออกข้อกำหนด วิธีปฏิบัติกรณีที่จับสัตว์น้ำได้โดยบังเอิญ ฉะนั้นรัฐมนตรีเกษตรสามารถออกประกาศได้เลย ในการป้องกันแก้ปัญหาการทำลายหรือจับสัตว์น้ำวัยอ่อนมากเกินไป“

นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยย้ำว่า ภาครัฐซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบาย และเป็นผู้นำในการสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเข้มแข็ง จึงควรตระหนักถึงปัญหา และประกาศมาตรการควบคุม เพราะเชื่อว่าถ้าสามารถแก้ไขปัญหาได้ จะสามารถเพิ่มปริมาณอาหารทะเลให้มีคุณภาพมากขึ้น ราคาอาหารทะเลลดลงจนถึงระดับที่เหมาะสมจนผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงได้มากขึ้น

โดยเฉพาะปลาทู สัตว์น้ำเศรษฐกิจของไทยที่ใช้อวนลากขนาดใหญ๋จนทำให้ตักตวงเอาลูกปลาทูไปด้วย ทั้งนี้ ในวันที่ 8 มิ.ย.นี้ ซึ่งตรงกับวันทะเลโลกหรือวันมหาสมุทรโลก (World Oceans Day) ชาวประมงพื้นบ้าน สมาคมรักษ์ทะเลไทย และสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย จะรวบรวมรายชื่อของผู้บริโภคในแคมเปญ "ก่อนปลาทูจะหมดไทย ขอเร่งบังคับใช้กฎหมายเลิกจับสัตว์น้ำวัยอ่อน" บนเว็บไซต์ change.org พร้อมทั้งข้อเรียกร้องของเครือข่ายไปยื่นหนังสือให้ตัวแทนรัฐบาลบังคับใช้กฎหมายควบคุมการจับตัวอ่อนสัตว์น้ำอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะมีการล่องเรือประมงในแม่น้ำเจ้าพระยาไปเทียบท่าสัปปายะสภาสถานในวันดังกล่าว

related