SHORT CUT
แคลิฟอร์เนีย รัฐที่เกิดจากน้ำมือแรงงานผู้อพยพ สู่สมรภูมิไล่ล่าคนเข้าเมืองผิดกฎหมายในยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์
ในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นโยบายต้านคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ถูกผลักดันอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการลดจำนวนผู้อพยพผิดกฎหมาย บุกจับแรงงานเถื่อน และการจำกัดการเข้าเมืองจากบางประเทศ ทว่าหนึ่งในรัฐที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากนโยบายนี้กลับกลายเป็นแคลิฟอร์เนีย
รัฐแห่งนี้มีประชากรผู้อพยพมากที่สุดในประเทศ ทั้งที่มีเอกสารและไม่มีเอกสาร เพราะมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของการต้อนรับแรงงานต่างชาติ และระบบเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาแรงงานอพยพ รัฐแคลิฟอร์เนียจึงกลายเป็นแนวหน้าในการเผชิญความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลกลางที่ใช้ไม้แข็ง
ก่อนที่ชาวยุโรปจะเดินทางมาถึง ดินแดนแคลิฟอร์เนียเป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองอเมริกันกว่า 300,000 คน จากหลากหลายเผ่าพันธุ์ จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 16 เมื่อนักสำรวจชาวสเปนเดินทางมาถึงและอ้างสิทธิ์ในดินแดนแห่งนี้ สเปนได้จัดตั้งระบบมิชชันนารี ขึ้นตามแนวชายฝั่งเพื่อเผยแผ่ศาสนาคริสต์และควบคุมชนพื้นเมือง เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและวัฒนธรรมอย่างถาวร
หลังเม็กซิโกได้รับเอกราชจากสเปนในปี ค.ศ. 1821 แคลิฟอร์เนียได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเม็กซิโก แต่การปกครองที่ห่างไกลจากศูนย์กลางทำให้ดินแดนแห่งนี้ค่อนข้างมีอิสระ และเริ่มมีชาวอเมริกันเดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานมากขึ้นเรื่อยๆ
ประวัติศาสตร์ของแคลิฟอร์เนียและสถานะ "เมืองผู้อพยพ" พลิกผันไปตลอดกาลในปี ค.ศ. 1848 เมื่อมีการค้นพบทองคำที่ Sutter's Mill ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิด "ยุคตื่นทอง" (California Gold Rush) ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ตั้งแต่ชาวอเมริกันจากฝั่งตะวันออก, ผู้อพยพจากยุโรป, ละตินอเมริกา ออสเตรเลีย และที่สำคัญคือจากประเทศจีน ต่างหลั่งไหลเข้ามาแสวงโชค ทำให้ประชากรในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง สงครามเม็กซิกัน-อเมริกัน ได้เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงด้วยสนธิสัญญากัวดาลูเป ฮิดัลโก (Treaty of Guadalupe Hidalgo) ซึ่งเม็กซิโกจำต้องยกดินแดนแคลิฟอร์เนียและพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้อีกมหาศาลให้แก่สหรัฐอเมริกา และในที่สุด แคลิฟอร์เนียก็ได้เข้าเป็นรัฐที่ 31 ของสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1850
อย่างไรก้ตาม คลื่นผู้อพยพจากหลายเชื้อชาติ ได้กลายเป็นกำลังแรงงานสำคัญ ในแคลิฟอร์เนีย แม้จะต้องเผชิญกับการเหยียดเชื้อชาติและกฎหมายกีดกันต่างๆ แต่พวกเขาก็ได้ตั้งรกรากและสร้างชุมชนที่เข้มแข็งขึ้นมา นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้แคลิฟอร์เนียกลายเป็น "รัฐที่สร้างจากผู้อพยพ" อย่างแท้จริง จนถึงปัจจุบัน
แคลิฟอร์เนียกลายเป็นจุดหมายปลายทางหลักของผู้อพยพด้วยปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาแรงงานราคาถูกอย่างสูง ภาคเกษตรกรรมในเซ็นทรัลแวลลีย์ซึ่งได้รับฉายาว่า “อู่ข้าวอู่น้ำของอเมริกา” ต้องการแรงงานตามฤดูกาลจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะหลังจากสิ้นสุดโครงการบราเซโรในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ซึ่งเคยเปิดทางให้แรงงานเม็กซิกันเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย แต่เมื่อโครงการยุติลง ความต้องการแรงงานยังคงอยู่ จึงเปิดช่องให้เกิดการลักลอบเข้ามาทำงานโดยไม่มีเอกสาร
นอกจากนี้ ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่แคลิฟอร์เนียเคยเป็นส่วนหนึ่งของเม็กซิโก ยังทำให้เกิดสายสัมพันธ์ข้ามพรมแดนที่แน่นแฟ้น ขณะที่กฎหมายคนเข้าเมืองปี 1965 ก็เป็นอีกแรงผลักดันสำคัญ เพราะเปิดโอกาสให้ผู้อพยพจากเอเชียและละตินอเมริกาเข้ามาได้มากขึ้น จึงไม่แปลกที่รัฐนี้จะกลายเป็นจุดหมายของผู้อพยพจากทั่วโลก
ทว่าช่องว่างระหว่างความต้องการแรงงานกับโควตาการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายที่ไม่เพียงพอ ได้นำไปสู่ปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมาย (Undocumented Immigrants) ที่มีจำนวนหลายล้านคนในรัฐแห่งนี้
เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นช่วง 2017–2021 sหรือปี 2025 นี้ก็ได้มีนโยบายหลักคือการกวาดล้างและส่งกลับผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารถูกต้องแบบเด็ดขาด ซึ่งต่างกับนโยบายของ โจ ไบเดน ของพรรคเดโมแครตที่มีการช่วยเหลือให้ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารให้ได้รับเอกสารพำนักในสหรัฐฯได้
ความเอาจริงเอาจรังของทรัมป์ ได้เพิ่มอำนาจและงบประมาณให้กับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองและศุลกากร (Immigration and Customs Enforcement - ICE) อย่างมหาศาล ทำให้มีการบุกเข้าจับกุมผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่ทั่วประเทศ มหานครลอสแอนเจลิส (LA) รัฐ แคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีประชากรผู้อพยพและผู้ที่ไม่มีเอกสารหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ได้กลายเป็นเป้าหมายสำคัญ
ปฏิบัติการของ ICE ในยุคทรัมป์มีความเข้มข้นและเปิดเผยมากขึ้น มีการบุกเข้าจับกุมตามบ้าน ที่ทำงาน หรือแม้แต่ในพื้นที่สาธารณะ สร้างความหวาดกลัวไปทั่วชุมชนผู้อพยพ ภาพข่าวการจับกุมและการพรากครอบครัวออกจากกัน กลายเป็นภาพที่ทำให้ฝ่ายเห็นต่าง ออกมาลงท้องถนน
แม้การกวาดล้างผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายจะได้รับเสียงสนับสนุนจากชาวอเมริกันไม่น้อย แต่ ก็ก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในสังคมสหรัฐฯ ว่าการเข้มงวดกวดขันดังกล่าวส่งผลดีหรือเสียต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจกันแน่
เพราะสำหรับรัฐแคลิฟอร์เนียแล้ว มีรายงานว่าแรงงานที่ไม่มีเอกสารจ่ายภาษีทั้งในระดับรัฐและท้องถิ่นรวมถึงภาษีเงินได้, รายได้, และภาษีธุรกิจ ในปี 2023 รายได้ภาษีจากแรงงานกลุ่มนี้รวมกันประมาณ 89.8 พันล้านดอลลาร์ หากจับกุมออกไป รายได้ภาษีจะลดลง ส่งผลให้รัฐต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสาธารณะเพื่อเติมช่องว่าง เช่น ระบบสวัสดิการ สาธารณสุข และประกันสังคม
ที่มา : houstonchronicle, Californialocal
ข่าวที่เกี่ยวข้อง