SHORT CUT
เบื้องหลังความตึงเครียดไม่ได้มาจากแค่การพัฒนานิวเคลียร์ แต่คือ ปมสองมาตรฐานของกติกาโลก ที่นักวิชาการชี้ว่าถูกใช้เพื่อ รักษาอำนาจ 'พี่ใหญ่'
ในอดีต ทางการอิหร่านยืนยันมาตลอดว่าโครงการนิวเคลียร์ของประเทศมีวัตถุประสงค์เพื่อพลเรือนเท่านั้น ไม่ได้มุ่งพัฒนาอาวุธแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม การค้นพบกิจกรรมนิวเคลียร์อย่างลับๆ ในปี 2002 ได้จุดประกายความกังวลอย่างรุนแรงจากประชาคมโลก
โดยเฉพาะจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ว่านี่อาจเป็นการละเมิดสนธิสัญญา NPT ที่อิหร่านและประเทศสมาชิกอีกกว่า 180 ชาติ ได้ลงนามร่วมกันไว้ เรื่อยมาจนถึงปี 2018 สมัยแรกของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์”
ทรัมป์ถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่เรียกว่า "แผนปฏิบัติการเบ็ดเสร็จร่วม" (Joint Comprehensive Plan of Action – JCPOA) และดำเนินมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับอิหร่าน จากนั้น อิหร่านรุดหน้าพัฒนาโปรเจกต์นิวเคลียร์เรื่อยมา
คำถามที่ใครหลายคนสงสัยก็คือ เหตุใดสหรัฐอเมริการวมถึงสหภาพยุโรป ต่างเป็นกังวลถึงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน สนธิสัญญา NPT มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร เหตุใดอาวุธนิวเคลียร์ถึงถูกมองว่าเป็นหายนะของมนุษยชาติ ? หาคำตอบได้ที่บทความนี้
ราวปี 1945 ช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II) ความหวั่นเกรงในพาลานุภาพของอาวุธนิวเคลียร์ ได้สำแดงให้ชาวโลกเห็นแล้ว จากกรณีที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมือง “ฮิโรชิม่า” และ “นางาซิกิ" ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 1.2-2.4 แสนราย
อาวุธนิวเคลียร์ขึ้นแท่นเป็นศาตราวุธที่ทำลายล้างผู้คนในระดับที่ไม่ควรมีประเทศใดในโลกใช้ยิงใส่กันอีก กระทั่งโลกเข้าสู่สงครามเย็น (Cold War) การห้ำหั่นกันระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เพิ่มสูงขึ้น บรรยากาศการเมืองโลกตึงเครียด
แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสหรัฐฯ และโซเวียต ก็ยังไม่หยุดโปรเจกต์พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ในปี 1950s มีการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ 3,000 ลูก ขณะที่โซเวียตมี 3,600 ลูก ในเวลาเดียวกัน ชาติมหาอำนาจอื่น ๆ จึงเร่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ติดตามกันมา
สามารถไล่เรียงได้ดังนี้ สหรัฐอเมริกา (1945), สหภาพโซเวียต (1949), รัสเซีย (1949), อังกฤษ (1952), ฝรั่งเศส (1960), จีน (1964), อินเดีย (1974), ปากีสถาน (1998) และล่าสุดคือ เกาหลีเหนือ (2006) ประเทศเหล่านั้นมีการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อย่างเปิดเผย
สาเหตุที่ปัจจุบันยังไม่มีมหาอำนาจใด กล้ากดปุ่มยิงนิวเคลียร์ใส่ประเทศอื่นอีกนั้น หลัก ๆ แล้วมาจากทฤษฎีทางการทหาร “Mutually Assured Destruction” หรือ MAD อธิบายถึงสภาวะที่ชาติมหาอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายต่างทราบดีว่า หากเริ่มโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ เราเองก็จะพังทลายย่อยยับด้วยเหมือนกัน
ดังนั้น หลังปี 1950s เป็นต้นมา ชาติมหาอำนาจจึงอวดบารมีผ่านศาสตราวุธที่อันตรายที่สุดในโลกอย่าง นิวเคลียร์ แน่นอนว่าไม่ได้ยิงใส่กัน แต่ออกมาในลักษณะการทดสอบ ยกตัวอย่างเช่น วันที่ 3 ตุลาคม 1952 อังกฤษทดสอบนิวเคลียร์บริเวณนอกชายฝั่ง Trimouille ของประเทศออสเตรเลีย
ช่วงเดียวกันนี้ อาวุธนิวเคลียร์จึงกลายเป็นเพียงเครื่องขู่ขวัญของบรรดาชาติมหาอำนาจ ไม่ให้ชาติอื่น ๆ มีปากเสียงด้วย ขณะที่ชาติอื่น ๆ ต่างก็อยากจะพัฒนานิวเคลียร์ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ คือกรณีอย่างอิหร่าน มีการวิเคราะห์ว่าตราบใดที่อิหร่านยังมีนิวเคลียร์ อิสราเอลรวมถึงสหรัฐฯ ก็มิกล้าทำลายล้างอิหร่านอย่างแน่นอน
การที่อิหร่านมีนิวเคลียร์จะเป็นการเปลี่ยนแปลงสมดุลอำนาจในภูมิภาคอย่างรุนแรง และอาจนำไปสู่การที่ประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลาง (เช่น ซาอุดีอาระเบีย) พยายามพัฒนานิวเคลียร์ตาม ทำให้เกิดการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาคที่ไม่มั่นคงอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาอำนาจกังวลที่สุด
นอกจากจะไม่ยิงใส่กันแล้ว อีกหนึ่งเทคนิคของสันติวิธีคือการจำกัดการใช้อาวุธนิวเคลียร์ จึงเกิดเป็น สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Non-Proliferation of Nuclear Weapons Treaty หรือ NPT) มีผลบังคับใช้ ปี 1970 ปัจจุบัน มีสมาชิกทั้งหมด 188 ประเทศ ไทยร่วมเป็นสมาชิกในปี 1972
สาระสำคัญมี 3 ข้อ ได้แก่ 1. ห้ามรัฐที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ (P5: สหรัฐฯ, รัสเซีย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, จีน ซึ่งเป็นประเทศที่ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ก่อนปี 1967) ส่งหรือช่วยประเทศอื่น ผลิตหรือครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และรัฐที่ไม่ได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ รับ แสวงหา หรือขอความช่วยเหลือจากประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์
2. รัฐสมาชิกร่วมกันหามาตรการลดอาวุธนิวเคลียร์ ขณะเดียวกัน ชาติมหาอำนาจต้องล้มเลิกไอเดียในการแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งอย่างหลังมักถูกวิจารณ์ว่ามหาอำนาจไม่ปฏิบัติตาม 3. ใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ เช่น พัฒนานวัตกรรม เป็นต้น
จอห์น เมียร์ไซเมอร์ นักรัฐศาสตร์และนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชาวอเมริกัน วิจารณ์ถึงสนธิสัญญา NPT ว่า สนธิสัญญา NPT เป็นกลไกที่มหาอำนาจใช้เพื่อรักษาอำนาจและสถานะของตนเท่านั้น “มหาอำนาจต้องการรักษาอำนาจการครอบครองนิวเคลียร์ของตน เพื่อรักษาความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์และความมั่นคง”
มีหลายกรณีที่มหาอำนาจมีความพยายามจะขัดขาชาติที่ต้องการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เกาหลีเหนือ ซึ่งเริ่มพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มาตั้งแต่ยุค 60s แม้จะเข้าร่วมสนธิสัญญา NPT ในปี 1985 แต่ก็ซุ่มพัฒนาเรื่อยมา
ในปี 2006 เกาหลีเหนือทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรก สหประชาชาติออกมาตรการคว่ำบาตรทันที เช่น ห้ามส่งออก/นำเข้า สินค้าบางชนิด ห้ามทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ตรวจสอบเรือสินค้าเกาหลีเหนือ ห้ามรับแรงงาน ฯลฯ
ที่มา: Council Foreign Relations, Scientific American
ข่าวที่เกี่ยวข้อง