svasdssvasds

ที่สุดแห่งปี’68 ‘ภาษีทรัมป์’ เขย่าธุรกิจไทย จับตาปี’69 ทิศทางจะเป็นอย่างไร?

ที่สุดแห่งปี’68 ‘ภาษีทรัมป์’ เขย่าธุรกิจไทย จับตาปี’69 ทิศทางจะเป็นอย่างไร?

พาย้อนดูเรื่องราวสุดหินที่ภาคธุรกิจไทย เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ นั่นก็คือ ‘ภาษีทรัมป์’ ที่เขย่าธุรกิจไทยไปไม่น้อย พร้อมจับตาปี’69 ทิศทางจะเป็นอย่างไร?

SHORT CUT

  • แน่นอนว่าปี 2569 เศรษฐกิจของไทยก็ต้องเดินต่อไปท่ามกลางปัจจัยลบมากมาย แต่…วันนี้ #SPRiNG จะพามาดูอีกหนึ่งปัจจัยใหญ่ที่ถือว่าที่สุดแห่งปี’68 และเป็นข่าวช็อกโลก และทำให้ไทย และหลายๆประเทศช็อกไปตามๆกันนั่นก็คือ ‘ภาษีทรัมป์’
  • วันนี้พาย้อนรอย ‘กำแพงภาษี’ นำเข้าเขย่าการค้าโลก และช่วงแรกๆไทยเผชิญมรสุมมากถึง 36% ก่อนที่จะมีการเร่งเจรจาให้ภาษีดังกล่าวให้ลดลงกว่านี้ได้
  • เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่สุดแห่งปี’68 ‘ภาษีทรัมป์’ เขย่าธุรกิจไทย จับตาปี’69 ทิศทางจะเป็นอย่างไร?

พาย้อนดูเรื่องราวสุดหินที่ภาคธุรกิจไทย เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ นั่นก็คือ ‘ภาษีทรัมป์’ ที่เขย่าธุรกิจไทยไปไม่น้อย พร้อมจับตาปี’69 ทิศทางจะเป็นอย่างไร?

ใกล้สิ้นปี2568 เข้ามาทุกที ซึ่งหากนับจากวันนี้ก็จะเหลือเวลาไม่กี่วันแล้ว เชื่อว่าหลายคนเตรียมตัวเดินทางกลับภูมิลำเนา และเดินทางท่องเที่ยวกันแล้ว แต่...แน่นอนว่าปี 2569 เศรษฐกิจของไทยก็ต้องเดินต่อไปท่ามกลางปัจจัยลบมากมาย แต่…วันนี้ #SPRiNG จะพามาดูอีกหนึ่งปัจจัยใหญ่ที่ถือว่าที่สุดแห่งปี’68 และเป็นข่าวช็อกโลก และทำให้ไทย และหลายๆประเทศช็อกไปตามๆกันนั่นก็คือ ‘ภาษีทรัมป์’ เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ หวนคืนทำเนียบขาวอีกครั้ง พร้อมประกาศใช้ ‘กำแพงภาษี’ นำเข้าเขย่าการค้าโลก และช่วงแรกๆไทยเผชิญมรสุมมากถึง 36% ก่อนที่จะมีการเร่งเจรจาให้ภาษีดังกล่าวให้ลดลงกว่านี้ได้

โดย ‘ภาษีทรัมป์’ ได้ถูกนำกลับมาใช้อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการด้านภาษีศุลกากรนำเข้า ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อรองทางการค้าและกดดันประเทศที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้าด้วยอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าครั้งใหญ่นี้ถูกหลายฝ่ายเปรียบเทียบว่าเป็น 'แผ่นดินไหวทางการค้าโลก' ที่ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ โดยในรอบแรกของการประกาศอัตราภาษีใหม่นี้ มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอย่างน้อย 14 ประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม 2568 ที่ผ่านมานี้

พามาดูช่วงแรกๆที่หลายประเทศโดนเต็มๆสำหรับภาษีทรัมป์ ซึ่งไทยอยู่ในกลุ่มถูกเก็บภาษีสูงลิ่ว 36% โดยในบรรดาประเทศที่ถูกขึ้นภาษีชุดแรก ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงเกินกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ยืนยันเรียกเก็บจากสินค้าไทยคือ 36% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเดียวกัน เช่น จีนที่ถูกเก็บ 34%, เวียดนาม 46% และไต้หวัน 32% การขึ้นภาษีในระดับนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับภาคธุรกิจส่งออกของไทย เนื่องจากสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย

ซึ่งการใช้มาตรการภาษีนี้มีเป้าหมายเพื่อบีบให้ประเทศคู่ค้าหันมาเจรจาต่อรองทางการค้า โดยเฉพาะในประเด็นการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ และการจัดการปัญหาการใช้ประเทศที่สามเป็นฐานในการส่งออก (Trade Deflection) ต่อมาไทยมีการเจรจาเพื่อขอลดอัตราภาษี ซึ่งเป็นความพยายามของ 'ทีมไทยแลนด์' จากสถานการณ์ที่ไทยถูกกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 36% นั้น ทางการไทยโดย "ทีมไทยแลนด์" ซึ่งประกอบด้วยภาครัฐและภาคเอกชน ได้เร่งดำเนินการเจรจากับฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ อย่างเร่งด่วน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อขอให้มีการ ลดอัตราภาษีนำเข้า ลงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้และไม่กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยมากจนเกินไป

จนทำให้สหรัฐฯได้มีประกาศลดภาษีไทยเหลือ 19% จากความพยายามในการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดประเทศไทยก็ได้รับข่าวดีครั้งสำคัญ โดยในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งบริหารและประกาศอัตราภาษีตอบโต้ฉบับปรับปรุง ลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยจากเดิม 36% เหลือเพียง 19% โดยมีผลบังคับใช้ทันที โดยการประกาศลดอัตราภาษีดังกล่าวถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ทางการทูตเศรษฐกิจของไทย ท่ามกลางกระแสสงครามการค้าโลก เนื่องจากอัตรา 19% นี้เป็นระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่ถูกจัดเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราใกล้เคียงกัน เช่น มาเลเซีย 19%, อินโดนีเซีย 19% และเวียดนาม 20% ทำให้สินค้าไทยยังคงสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ไว้ได้

แม้จะบรรลุข้อตกลงที่ผ่อนปรนนี้ได้ แต่รัฐบาลไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการ ปัญหาการสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้า (Transshipment) ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สหรัฐฯ มุ่งเน้นการปราบปรามอย่างเข้มงวด โดยสินค้าที่เข้าข่ายการสวมสิทธิอาจถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่า 19%

ทั้งนี้หากส่องดูประเทศอื่นๆโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านเราที่มีความพยายามในการเจรจาต่อรองภาษีเช่นกัน พบว่าปัจจุบันเหลือภาษีทรัมป์ดังนี้

  • เวียดนาม 20 %
  • อินโดนีเซีย 19 %
  • ฟิลิปปินส์ 19 %
  • กัมพูชา 19 %
  • มาเลเซีย 19 %
  • สิงคโปร์ 10 %
  • เมียนมา 40%
  • ลาว 40%
  • บรูไน 25%
  • สิงคโปร์ 10%
  • อินโดนีเซีย 19%

ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นเหลือ 15% (ลดลงจาก 25%), อินเดีย 25% (ลดลงจาก 26%) และเกาหลีใต้ ที่ถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าอยู่ที่ 15% (ลดลงจาก 30%) อย่างไรก็ตามหากมองในแง่มูลค่าทางเศรษฐกิจปีในปี 2024 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มูลค่า 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.5 ล้านล้านบาท)

อย่างไรก็ตามยังมีรายการสินค้าที่ไทยไม่เรียกเก็บภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเหลือ 19% แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

1. สินค้าที่ไทยไม่ผลิต ไม่มี

2. สินค้าที่ไทยผลิตได้เอง แต่ไม่เพียงพอ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

3. สินค้าไทยมีรายการซื้อจากต่างประเทศอยู่แล้ว และสหรัฐฯ ไม่ได้ขาย เช่น ลำไย

แน่นอนว่าปี2569 ยังคงเป็นปีที่น่าจับตามองอีกว่า ทรัมป์ จะกลับลำ และเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่? เชื่อว่าหลายประเทศทั่วโลกก็ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดท้ายที่สุด “ภาษีทรัมป์” ไม่ได้เป็นแค่สงครามภาษีระหว่างสองประเทศ แต่คือบททดสอบใหม่ของเศรษฐกิจไทยในยุคที่กฎเกมการค้าถูกเขียนใหม่ได้ทุกครั้งที่ผู้นำมหาอำนาจเปลี่ยนมือ จากนี้โจทย์สำคัญไม่ใช่แค่การเจรจาลดภาษี แต่คือการเร่งยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้แข็งแรงพอรับแรงสั่นสะเทือนจากเวทีโลก เพราะเมื่อโลกการค้าเปลี่ยนเร็ว การรอให้พายุซาอาจไม่พอ—ต้องมีเรือที่แข็งแรงพอจะแล่นต่อได้ไม่ว่าใครจะเป็นคนกำหนดกระแสลมในวอชิงตัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related