svasdssvasds

รู้จัก 'คาเฟ่วรรณกรรม' วัฒนธรรมที่เฟื่องฟู ก่อนมีอินเทอร์เน็ต

รู้จัก 'คาเฟ่วรรณกรรม' วัฒนธรรมที่เฟื่องฟู ก่อนมีอินเทอร์เน็ต

รู้จัก ‘คาเฟ่วรรณกรรม’ วัฒนธรรมที่เฟื่องฟู ก่อนมีอินเทอร์เน็ต เมื่อร้านกาแฟเคยเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดของผู้คน ,ากกว่านั่งทำงานคนเดียว

SHORT CUT

  • ในอดีต คาเฟ่วรรณกรรมทำหน้าที่เป็น “ห้องนั่งเล่นของเมือง” เปิดให้ผู้คนจากหลากหลายวงการมานั่งใช้เวลา แลกเปลี่ยนความคิด อ่าน เขียน และสนทนาอย่างเสรี โดยให้ความสำคัญกับบรรยากาศและวัฒนธรรมการพูดคุยมากกว่าการขายสินค้า
  • คาเฟ่ยุคใหม่จำนวนมากกลายเป็นพื้นที่ทำงานชั่วคราวหรือที่นั่งคนเดียวหลังหน้าจอ ขณะที่คาเฟ่วรรณกรรมเน้นการใช้เวลาร่วมกัน การสนทนาแบบเผชิญหน้า และประสบการณ์ร่วมที่สามารถจุดประกายความคิดระหว่างคนแปลกหน้าได้
  • การมาถึงของเทคโนโลยีดิจิทัลย้ายพื้นที่ถกเถียงและแลกเปลี่ยนความคิดไปสู่โลกออนไลน์ ส่งผลให้คาเฟ่วรรณกรรมแบบดั้งเดิมลดจำนวนลง และทำให้ผู้คนมีแนวโน้มอยู่ในโลกของตัวเองมากขึ้น แทนที่จะเปิดพื้นที่ให้บทสนทนากับคนแปลกหน้าเหมือนในอดีต

รู้จัก ‘คาเฟ่วรรณกรรม’ วัฒนธรรมที่เฟื่องฟู ก่อนมีอินเทอร์เน็ต เมื่อร้านกาแฟเคยเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดของผู้คน ,ากกว่านั่งทำงานคนเดียว

ก่อนที่ร้านกาแฟจะกลายเป็นพื้นที่ทำงานชั่วคราว แก้วกาแฟแบบซื้อกลับ และ Wi-Fi ที่ต้องเร็วพอสำหรับวิดีโอคอล ร้านกาแฟเคยมีบทบาทสำคัญกว่านั้นมาก ในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 มีวัฒนธรรมหนึ่งที่เฟื่องฟูอย่างยิ่ง นั่นคือ “คาเฟ่วรรณกรรม” (literary cafés) พื้นที่ซึ่งนักเขียน นักคิด ศิลปิน และปัญญาชนจากหลากหลายแขนงมานั่งถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิด และสร้างงานร่วมกัน

คาเฟ่เหล่านี้ไม่ได้ขายเพียงกาแฟหรืออาหารง่าย ๆ แต่ทำหน้าที่เป็น “ห้องนั่งเล่นของเมือง” เป็นพื้นที่กลางที่ใครก็สามารถเข้ามานั่ง ฟัง อ่าน เขียน และพูดคุยได้อย่างเสรี โดยไม่ถูกจำกัดด้วยชนชั้นหรือจุดยืนทางการเมือง

ลักษณะของคาเฟ่วรรณกรรม

คาเฟ่วรรณกรรมถือกำเนิดในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17 ก่อนจะได้รับความนิยมในศตวรรษที่ 19  เป็นร้านกาแฟที่ถูกออกแบบและใช้เป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรม มากกว่าพื้นที่เชิงพาณิชย์เพียงอย่างเดียว บทบาทหลักของมันคือการเป็นจุดนัดพบของผู้คนที่สนใจวรรณกรรม ศิลปะ ปรัชญา และประเด็นสังคม คาเฟ่ลักษณะนี้มักตั้งอยู่ใจกลางเมือง เปิดให้ผู้คนใช้เวลาอยู่นานโดยไม่ถูกเร่งเร้าให้ลุกจากโต๊ะ

ในอดีต คาเฟ่วรรณกรรมชื่อดังอย่าง Café Central ในเวียนนา, Café de Flore และ Les Deux Magots ในปารีส หรือ Café Gijón ในมาดริด เป็นสถานที่ที่แนวคิดทางการเมือง งานเขียน และศิลปะสมัยใหม่จำนวนมากถือกำเนิดขึ้น นักเขียนไม่ได้เพียงมานั่งทำงานคนเดียว แต่ยังอ่านงานให้กันฟัง วิจารณ์กันตรงไปตรงมา และสร้างเครือข่ายความคิดร่วมกัน

สิ่งสำคัญคือ คาเฟ่วรรณกรรมไม่จำเป็นต้องมีหนังสือวางเต็มร้านเสมอไป แต่มี “บรรยากาศที่เอื้อต่อการคิด” และ “วัฒนธรรมการสนทนา” เป็นหัวใจหลัก

แตกต่างจากคาเฟ่ในปัจจุบันอย่างไร

เมื่อเปรียบเทียบกับร้านกาแฟยุคใหม่ ความแตกต่างของคาเฟ่วรรณกรรมเห็นได้ชัดในหลายมิติ

คาเฟ่ร่วมสมัยจำนวนมากถูกออกแบบให้รองรับการใช้งานแบบรวดเร็ว กาแฟเป็นสินค้า บริการต้องเร็ว โต๊ะต้องหมุนเวียน และพื้นที่จำนวนไม่น้อยกลายเป็น Co-Working Space โดยปริยาย การนั่งคนเดียวเงียบ ๆ หลังหน้าจอจึงกลายเป็นภาพคุ้นตา

ตรงกันข้าม คาเฟ่วรรณกรรมให้ความสำคัญกับ “การใช้เวลา” มากกว่าความเร็ว การนั่งนานไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นหัวใจของพื้นที่ บทสนทนาแบบเผชิญหน้า การโต้แย้งอย่างสุภาพ และการแลกเปลี่ยนความคิดคือกิจกรรมหลัก ไม่ใช่สิ่งรบกวน

ในขณะที่คาเฟ่ปัจจุบันจำนวนมากเน้นประสบการณ์ส่วนตัว คาเฟ่วรรณกรรมกลับเน้นประสบการณ์ร่วม เป็นพื้นที่ที่ความคิดของคนหนึ่งสามารถกระทบ กระเทือน หรือจุดประกายความคิดของอีกคนได้

วัฒนธรรมที่หายไปหลังการมาของอินเทอร์เน็ต

ความจริงที่น่าเสียดายคือ คาเฟ่วรรณกรรมแบบดั้งเดิมจำนวนมากกำลังหายไป บางแห่งปิดกิจการ บางแห่งถูกซื้อไปโดยเชนธุรกิจขนาดใหญ่ และบางแห่งกลายเป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์มากกว่าจะเป็นพื้นที่สนทนาที่มีชีวิตชีวา

สาเหตุการมาถึงของอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิทัลได้เปลี่ยนพฤติกรรมการสื่อสารของผู้คนอย่างลึกซึ้ง การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เคยเกิดขึ้นบนโต๊ะกาแฟ ค่อย ๆ ย้ายไปอยู่บนหน้าจอ ผู้คนสามารถถกเถียง แสดงความเห็น หรือเสพเนื้อหาทางความคิดได้โดยไม่ต้องออกจากบ้าน ทำให้แรงจูงใจในการนั่งคุยกับคนแปลกหน้านอกบ้านนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ที่มา : laboutiquedigod/monocle

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

 

 

 

related