SHORT CUT
เปิดกลเกม สสร. 3 พรรคหลัก (ประชาชน-ภูมิใจไทย-เพื่อไทย) ออกแบบโมเดล สสร. ที่แตกต่างกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อ คุมทิศทางยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มีการจัดตั้ง สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) กลายเป็นวาระสำคัญของพรรคการเมืองหลัก 3 พรรค ได้แก่ พรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และ พรรคเพื่อไทย ที่ได้ตกลงร่วมกันยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ธงสำคัญของการเคลื่อนไหวนี้คือความหวังที่จะปฏิรูปการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพรรคประชาชน ซึ่งเคยยื่นเงื่อนไขในการสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาลและโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม โมเดลของ สสร. ที่แต่ละพรรคเสนอนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากในแง่ของวิธีการได้มา ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า กลไกที่ถูกออกแบบมานั้นมีเป้าหมายเพื่อให้ฝ่ายตนเองได้เปรียบและสามารถควบคุมทิศทางของการยกร่างกติกาประเทศได้ การออกแบบนี้เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขใหม่ที่ว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของ สสร.
พรรคประชาชนเริ่มนำร่องยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไปเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 ตามมาด้วยพรรคภูมิใจไทยที่เตรียมยื่นในวันที่ 24 กันยายน 2568 และพรรคเพื่อไทยที่เตรียมยื่นในวันที่ 25 กันยายน 2568 สิ่งที่น่าจับตาคือรายละเอียดในเนื้อหาที่ถูกออกแบบให้ สสร. เข้ามามีบทบาทต่อกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ทั้ง 3 พรรคได้ออกแบบกลไกในการได้มาซึ่ง สสร. และ “คณะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” หรือ “กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ” ซึ่งแต่ละโมเดลสะท้อนถึงความพยายามในการอิงฐานการเมืองที่ตนเองได้เปรียบ
พรรคประชาชนกำหนดให้ สสร. ทำหน้าที่เป็น “สภาที่ปรึกษา”
ที่มาของ สสร.: กำหนดให้ สสร. มีจำนวน 100 คน โดยทั้งหมดมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน 77 จังหวัด ซึ่งคำนวณสัดส่วนตามฐานประชากร
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ: เสนอให้ใช้สูตร “เลือกตั้งทางอ้อม” 2 ขยัก
ขยักแรก: ประชาชนลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ซึ่งผู้สมัครแต่ละบัญชีมีไม่เกิน 70 คน รูปแบบคล้ายระบบบัญชีรายชื่อ
ขยักที่สอง: นำคะแนนโหวตมาคำนวณตามสัดส่วนเพื่อให้ได้บุคคลผ่านเข้ารอบต่อไปไม่เกิน 70 คน จากนั้นให้ รัฐสภา ลงมติเลือกให้เหลือ 35 คน
โดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน เชื่อว่าวิธีการเลือกนี้จะ ปิดทางไม่ให้ “เสียงข้างมาก” ในรัฐสภาลาก สสร. ไปตามขั้วที่ครองเสียงสูงสุด และคงสัดส่วนที่สมเหตุสมผลให้มีตัวแทนของทุกกลุ่มในรัฐสภาเข้าไปทำหน้าที่ พรรคประชาชนได้เปรียบในเรื่องของคะแนนนิยมระดับประเทศที่มาจากการเลือกตั้งผ่านระบบบัญชีรายชื่อ
พรรคภูมิใจไทยออกแบบให้มี สสร. จำนวน 99 คน ซึ่งมีที่มาจาก 2 ส่วน
ที่มาของ สสร. ส่วนที่ 1 (ตัวแทนจังหวัด): 77 คน มาจากการเลือกผู้สมัครจากจังหวัดต่าง ๆ โดย รัฐสภาเป็นผู้ลงมติเลือก ตามสัดส่วนที่คำนวณจากฐานประชากร
ส่วนที่ 2 (นักวิชาการ): 22 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย คือ สายนิติศาสตร์ 7 คน, สายรัฐศาสตร์ 7 คน และสายผู้เชี่ยวชาญ 8 คน
คณะผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ: กำหนดให้ สสร. เป็นผู้ดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญเอง
เป้าหมายทางการเมือง: พรรคภูมิใจไทย (เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย) ได้เปรียบจากฐานะที่มีนักการเมืองบ้านใหญ่ในพื้นที่ การให้รัฐสภาเป็นผู้ลงมติเลือกตัวแทนจังหวัดจึงเอื้อต่อการคัดเลือกตัวแทนที่อิงฐานการเมืองของตนเอง
พรรคเพื่อไทยออกแบบให้ สสร. มีจำนวน 151 คน
ที่มาของ สสร. ส่วนที่ 1 (เลือกตั้งโดยอ้อม): 100 คน มาจากการเลือกตั้งแบบ 2 ขยัก
ขยักแรก: ประชาชนเลือกผู้สมัคร 2 เท่าของจำนวน สสร. ที่แต่ละจังหวัดพึงมี (รวม 300 คน)
ขยักที่สอง: นำรายชื่อ 300 คน ส่งให้ รัฐสภา โหวตเลือกให้เหลือ 100 คน โดยกำหนดเงื่อนไขว่าต้องมีตัวแทนประชาชนเข้ามาเป็น สสร. อย่างน้อย 1 คนต่อจังหวัด
ส่วนที่ 2 (แต่งตั้ง): 51 คน มาจากการเสนอชื่อโดย สภาผู้แทนราษฎร และ คณะรัฐมนตรี
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ มี 27 คน 14 คน มาจากตัวแทนที่ สภา สสร. เลือก 13 คน มาจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เช่น นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์
ขั้นตอนการทำงาน: เมื่อกรรมาธิการยกร่างฯ ทำงานเสร็จแล้ว ต้องส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ รัฐสภาเห็นชอบก่อน จึงจะนำไปทำประชามติ
โมเดลนี้ให้อำนาจรัฐสภาและฝ่ายบริหาร (ครม.) ในการคัดเลือกและแต่งตั้งบุคคลจำนวนมากเข้ามาเป็น สสร. และคณะยกร่างฯ ซึ่งเป็นการคุมเกมที่สอดคล้องกับฐานการเมืองที่มีความได้เปรียบของพรรค
หลังจากญัตติของทั้ง 3 พรรคถูกส่งถึงประธานรัฐสภา (วันมูหะมัดนอร์ มะทา) จะมีการพิจารณาความสมบูรณ์โดยเร็ว หากนับจากวันที่ 22 กันยายน 2568 ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะต้องถูกบรรจุเข้าสู่วาระของที่ประชุมร่วมรัฐสภาภายในวันที่ 6 ตุลาคม 2568
คาดการณ์ว่า รัฐสภาจะต้องพิจารณาและผ่านวาระแรกไม่เกินวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสมัยประชุมสภาฯ จากนั้นจะเข้าสู่การพิจารณาในชั้นกรรมาธิการในช่วงปิดสมัยประชุมประมาณ 1 เดือน ก่อนจะส่งให้รัฐสภาพิจารณาวาระสองในช่วงกลางเดือนธันวาคม เมื่อมีการเปิดสมัยประชุม
หากทุกอย่างดำเนินไปตามแผน การลงมติวาระสาม ว่าจะเห็นชอบทั้งฉบับหรือไม่ คาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนข้ามปี 2568 หรือก่อนการยุบสภาฯ เมื่อครบกำหนด 4 เดือนตามข้อตกลงทางการเมือง หากผ่านพ้นไปได้โดยไม่มีอุปสรรค ไทม์ไลน์เบื้องต้นคือการดำเนินไปสู่ การออกเสียงประชามติครั้งแรกควบกับครั้งที่สอง (ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ) พร้อมกับการเลือกตั้ง สส. ทั่วไป ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในช่วง ไตรมาสแรกของปี 2569
โมเดล สสร. และคณะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พรรคการเมืองทั้งสามเสนอมานั้น ไม่ได้เป็นเพียงการกำหนดโครงสร้าง แต่เป็นการ ถอดรหัสเพื่อควบคุมทิศทางการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อย่างชัดเจน แต่ละพรรคได้ออกแบบวิธีการได้มาซึ่ง สสร. และคณะยกร่างฯ โดยอิงจากสมมติฐานบนฐานการเมืองของตนเอง เพื่อให้สามารถส่งตัวแทนของฝ่ายตนเข้ามาทำหน้าที่ได้มากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมดที่เอื้อต่อคะแนนนิยมระดับประเทศของพรรคประชาชน หรือการใช้กลไกของรัฐสภาเข้ามาคัดเลือกที่เอื้อต่อฐานนักการเมืองบ้านใหญ่ของพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย การต่อสู้ทางกฎหมายและทางการเมืองนี้จึงเป็นเกมที่เข้มข้นในการกำหนดกติกาสูงสุดของประเทศในอนาคต หากไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้เป็นไปตามคาด การแก้ไขรัฐธรรมนูญและประชามติครั้งสำคัญจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2569
อ้างอิง