svasdssvasds

ตร. PCT รวบ “เบียร์บ้านแพ้ว” แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปลอมเป็นตำรวจ

ตร. PCT รวบ “เบียร์บ้านแพ้ว” แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปลอมเป็นตำรวจ

ตร. PCT รวบ “เบียร์บ้านแพ้ว” แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปลอมเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย หลอกผู้เสียหายกว่า 150 ล้าน พร้อมแฉพฤติกรรมการล่อลวงเหยื่อ พบรายได้ไม่ธรรมดา

วันที่ 29 ตุลาคม 2565 ที่ศูนย์สืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. แถลงผลการจับกุม ของศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือศปอส.ตร. (PCT)ชุดที่ 5 นำโดย พล.ต.ต.ธีรเดช ที่สามารถจับกุม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกเป็นพนักงานขนส่งบริษัทเอกชน“fedex”เรื่องพัสดุผิดกฎหมาย และหลอกเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ “สภ.เมืองเชียงราย” ที่มีที่ตั้งอยู่ที่ ตึกประตูดำ 8 ชั้น ซ.วัดตาด เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา หรือที่เรียกกันว่า “ตึกประตูดำ”

ตร. PCT รวบ “เบียร์บ้านแพ้ว” แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปลอมเป็นตำรวจ

โดย ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ได้ติดตามแก๊งคนร้ายกลุ่มนี้ นานกว่า 6 เดือน พบว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค.65 ได้มีผู้เสียหายได้ถูกแก็งคอลเซ็นเตอร์นี้หลอกลวง มูลค่าความเสียหาย 41,517,869 บาท และเมื่อวันที่ 30 ก.ค.65 ได้มีผู้เสียหายซึ่งเป็นแพทย์ ได้ถูกแก็งคอลเซ็นเตอร์นี้หลอกลวงอีก มูลค่าความเสียหาย 101,871,381 บาท

เมื่อนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ได้วิเคราะห์แผนประทุษกรรม ประกอบกับพยานหลักฐานที่สืบสวนได้ จึงได้เร่งรัดให้ดำเนินการสืบสวน และจับกุมผู้กระทำความผิดทั้งหมด ทั้งต่างประเทศ และในประเทศอย่างต่อเนื่อง

โดยเมื่อวานนี้ (28 ต.ค.) เวลาประมาณ 18.00 น. ตำรวจ PCT ได้นำกำลังเข้าจับกุมตัวนายชลวิชา ปานสมุทรหรือเบียร์บ้านแพ้วอายุ 32 ปี ซึ่งทำหน้าที่เป็นพนักงานสาย 3 ที่ปลอมเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2298/2565 ลงวันที่ 28 ต.ค. 65 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยการแสดงตนเป็นคนอื่น , ร่วมกันอั้งยี่ , ร่วมกันเป็นซ่องโจร , ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , ร่วมกันโดยทุจริตฯ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ และร่วมกันฟอกเงินฯ” ได้บริเวณลานจอดรถ ร้านเค้กบ้านสวน (ขาเข้าสระบุรี) ต.สนับทึบ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมตรวจยึดทรัพย์สิน จำนวน 16 รายการ

 

พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า ตำรวจ PCT ชุดที่ 5 ได้รวบรวมพยานหลักฐาน ยื่นต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 58 หมายจับ ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 65 พล.ต.อ.วรรณวีระ สม ผู้ช่วย ผบ.ตร./ผบช.กองบัญชาการรักษาความมั่นคงภายใน ตำรวจกัมพูชา และคณะ ได้เดินทางมาพบ ผบ.ตร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อวางแนวทางปฏิบัติการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว และมีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า ผู้ที่เป็น“มือเชือด”ที่หลอกลวงให้โอนเงินในขั้นตอนสุดท้าย หรือเรียกว่า สายสามทั้ง 2 คดีนี้ ได้เงินไปกว่า 150 ล้านบาท คือนายชลวิชา ปานสมุทรหรือเบียร์บ้านแพ้ว

กระทั่งเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 65 ตำรวจ PCT ได้เดินทางไปยังเมืองปอยเปต ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศกัมพูชา เข้าปฏิบัติการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประตูดำดังกล่าว แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงได้พบว่า หัวหน้าชาวไต้หวันได้สร้าง “ทางลับ” นำพาพนักงานคอลเซ็นเตอร์คนไทย หลบหนีออกไปจากตึก ระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจค้น โดยนายชลวิชา ปานสมุทรหรือเบียร์บ้านแพ้ว “มือเชือด 150 ล้าน” รายนี้สามารถหลบหนีออกจากตึกไปได้ ตำรวจ PCT 5 จึงได้ไล่ติดตาม และตามจับกุมได้ที่ประเทศไทย

เบื้องต้น นายชลวิชา ให้การรับสารภาพว่า “ตนได้ร่วมกันกับพวก หลอกลวงผู้เสียหายจริง โดยเริ่มต้นข้ามไปประเทศกัมพูชา ทางช่องทางธรรมชาติ เพื่อทำงานเป็นแอดมินเว็บพนัน ที่เมืองปอยเปต ตั้งแต่เดือน พ.ย. 64 กระทั่งช่วงเดือน ก.พ. 65 ถูกย้ายตึกทำงานประตูดำ และได้เริ่มหลอกลวง เป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์สาย 2 อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงราย ยศร้อยตำรวจโท แต่เมื่อทำมาได้ระยะหนึ่ง หัวหน้าชาวไต้หวัน ได้เห็นถึงความสามารถในการเชือด จึงได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าหน้าที่สาย 3 อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง ยศพันตำรวจเอก

โดยหลอกลวงผู้เสียหายว่า ผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับกุมคดี ของนายจักรพงศ์ รือเสาะ ตั้งแต่ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตนสามารถหลอกลวงผู้เสียหายได้ประมาณ 7 - 8 ล้านบาทต่อเดือน และเคสใหญ่ ๆ ที่ตนหลอกได้มี 3 ครั้ง คือ

1. ช่วงประมาณ เดือน เม.ย.2565 หลอกลวง นางอำภา ข้าราชการครูเกษียณ ได้ประมาณ 11 ล้านบาท

2. ช่วงประมาณ เดือน ก.ค.2565 หลอกลวง นายชาญชัย นักลงทุนหุ้น ได้ประมาณ 41 ล้านบาท

3. ช่วงประมาณ ต้นเดือน ต.ค.2565 หลอกลวง นางรัชนี เป็นหมอ อยู่เมืองชุมพร ซึ่งเป็นเคสล่าสุดที่ได้หลอกลวง โดยตนรับว่าเป็นผู้หลอกลวงหลักในเคสนี้ และมีเพื่อนชื่อ เต๋า ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง ช่วยพูดคุยหลอกลวงด้วย ได้ประมาณ 101 ล้านบาท

นายชลวิชา  ยังให้ข้อมูลอีกว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์แก๊งนี้ มีพนักงานเป็นคนไทยประมาณ 50 - 60 คน ในส่วนของเงินเดือนที่ได้การทำงานตั้งแต่เริ่มงาน ช่วง 1 - 3 เดือนแรก จะได้เงินเดือนประมาณ 20,000 บาท แต่ภายหลังเป็นพนักงานเก่า จึงได้ปรับเงินเดือนเพิ่มเป็น 30,000 บาท และได้ค่าคอมมิชชั่นจากการหลอกลวง 3% และคอมมิชชั่นล่าสุดที่สามารถหลอกลวงได้ 101 ล้าน ได้เงินสดมา 2 ล้านบาท และเคสเก่าที่เคยหลอกลวงได้ 40 ล้านบาท ตนได้เงินประมาณ 1.4 - 1.5 ล้านบาท และเคสเก่าที่เคยหลอกลวงได้ 10 ล้านบาท ได้เงินสด 300,000 บาท โดยรวมทั้งหมดที่ทำงานมาได้เงินมาทั้งหมดประมาณ 4 ล้านบาท

ส่วนตอนหลบหนีกลับมาที่ประเทศไทย ได้พกเงินสดติดตัวไว้ 600,000 บาท เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ตนได้นำเงินมาใช้สร้างบ้าน รวมประมาณ 1 ล้านบาท แบ่งให้ญาติใช้จ่าย รวม 1 ล้านบาท นำไปซื้อทองรูปพรรณมาเก็บไว้ประมาณ 5 แสนบาท ที่เหลือได้นำมาใช้จ่ายส่วนตัว และส่วนหนึ่งได้นำไปใช้เล่นพนันออนไลน์

หลังจับกุม พล.ต.ต.ธีรเดช ได้นำตัวผู้ต้องหามาขยายผลที่ บก.สส.บช.น. เพื่อขยายผลเส้นทางการเงิน เพื่ออายัดเงินที่ผู้ต้องหา ได้จากการหลอกลวงมาทั้งหมด และได้มีการติดตามให้ผู้เสียหาย ที่ถูกหลอกลวงเงินจำนวน 41 ล้านบาท และผู้เสียหาย (แพทย์) ที่ถูกหลอกลวงกว่า 100 ล้านบาท มาเข้ายืนยันเสียง ซึ่งทั้งสองยืนยันว่า เสียงของเบียร์บ้านแพ้วเป็นเสียงที่ทั้งสองถูกหลอกลวงจริง ๆ จากนั้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สอท.1 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และติดตามยึดทรัพย์สินต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า “มือเชือด 150ล้านบาท" รายนี้ มีเทคนิควิธีการที่จะสร้างความกลัวให้เหยื่อ มีวิธีการหลอกลวงได้อย่างแนบเนียน กว่าพนักงานคอลเซ็นเตอร์คนอื่น จนได้รับความไว้วางใจจากบอสชาวไต้หวัน ถือเป็นบุคคลที่เป็นภัยสังคม สร้างความเดือดร้อนให้คนไทยด้วยกัน จึงขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนคนไทย อย่าได้หลงเชื่อกลวิธีเหล่านี้ ท่านจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ หรือหากท่านมีเบาะแสสามารถติดต่อไปยัง สายด่วน 1441 ตำรวจไซเบอร์ หรือ ศูนย์ ศปอส.ตร. 081-8663000 ผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.comนอกจากนี้ยังได้จัดทำรูปแบบแผนประทุษกรรมของคนร้าย เพื่อให้ประชาชนรับรู้ โดยสามารถเข้าไปติดตามได้ที่www.pctpr.police.go.th

related