svasdssvasds

โนริเอกา จอมเผด็จการ ผู้ทำให้ปานาเป็นสวรรค์แห่งการฟอกเงิน

โนริเอกา จอมเผด็จการ ผู้ทำให้ปานาเป็นสวรรค์แห่งการฟอกเงิน

โนริเอกา เผด็จการค้ายา เขาใช้ปานามาเป็นศูนย์กลางฟอกเงินและพันธมิตรเครือข่ายเมเดยิน จุดจบคือการถูกรุกรานและดำเนินคดีใน 3 ประเทศ

SHORT CUT

  • มานูเอล อันโตนิโอ โนริเอกา (ผู้ปกครองโดยพฤตินัยของปานามาระหว่างปี 1983 ถึง 1989) คือ ทรัพย์สินสำคัญของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ (CIA)
  • เพื่อสร้างความมั่งคั่ง โนริเอกาได้สร้างพันธมิตรโดยตรงกับเครือข่ายค้ายาเมเดยิน (Medellín Cartel) ที่นำโดยพาโบล เอสโคบาร์
  • นอกจากนี้ โนริเอกายังทำให้ปานมากลายเป็น "สวรรค์" สำหรับการฟอกเงินยาเสพติดระหว่างประเทศ

โนริเอกา เผด็จการค้ายา เขาใช้ปานามาเป็นศูนย์กลางฟอกเงินและพันธมิตรเครือข่ายเมเดยิน จุดจบคือการถูกรุกรานและดำเนินคดีใน 3 ประเทศ

เรื่องราวของมานูเอล อันโตนิโอ โนริเอกา คือโศกนาฏกรรมทางภูมิรัฐศาสตร์ที่น่าทึ่ง และเป็นบทเรียนอันขมขื่นว่าด้วยความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ระดับโลก

โนริเอกา (เกิดปี 1934 เสียชีวิตปี 2017) ไม่เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีปานามาอย่างเป็นทางการ แต่เขากลับเป็นผู้ปกครองโดยพฤตินัย ระหว่างปี 1983 ถึง 1989 ผ่านการควบคุมคณะประธานาธิบดีหุ่นเชิดอย่างต่อเนื่อง

เขาเป็นทรัพย์สินสำคัญของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ (CIA) มานานหลายสิบปี เพราะสหรัฐฯ เห็นคุณค่าของเขาในฐานะผู้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็สร้างฐานอำนาจและสมบัติส่วนตัวมหาศาลผ่านอาชญากรรมระดับชาติ ทั้งการค้ายาเสพติดและการฟอกเงินระหว่างประเทศ 

เส้นทางจากชนชั้นล่างสู่ผู้นำหน่วยข่าวกรอง

โนริเอกามาจากครอบครัวที่ยากจนในปานามาซิตี และเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม เขาได้รับทุนการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย Chorrillos ในเปรู ซึ่งในช่วงเวลานี้เองที่เขาถูกทาบทามให้เป็นสายลับให้กับหน่วยข่าวกรองทางทหารของอเมริกา นับเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันยาวนานและซับซ้อนของเขากับสหรัฐฯ

เมื่อกลับมาปานามา เขาไต่เต้าในกองกำลังพิทักษ์ชาติ และกลายเป็นคนสนิทของกัปตันโอมาร์ ตอร์ริโคส 

โนริเอกาได้ช่วยตอร์ริโคสในการรัฐประหารโค่นล้มประธานาธิบดีอาร์นูลโฟ อาเรียสในปี 1968 ด้วยความภักดีนี้เอง ตอร์ริโคสจึงตอบแทนเขาด้วยตำแหน่งสำคัญ คือตำแหน่งหัวหน้าหน่วยข่าวกรองทางทหาร

ในฐานะหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง โนริเอกาได้สร้างการติดต่ออย่างเป็นทางการกับหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯ เขากลายเป็นผู้ให้ข้อมูลที่ได้รับค่าจ้างจาก CIA เพื่อสอดแนมการเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายในภูมิภาค 

แม้จะมีรายงานอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด แต่บทบาทของเขาในการช่วยรัฐบาลนิกสันในการปล่อยตัวลูกเรือเรือบรรทุกสินค้าชาวอเมริกันจากฮาวานา ก็ทำให้เขายังคงมีความสำคัญในสายตาของวอชิงตัน

การขึ้นสู่อำนาจเต็มตัว

หลังจากนายพลตอร์ริโคสเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกอย่างเป็นปริศนาในปี 1981 โนริเอกาก็ได้ใช้เวลาในการรวบรวมอำนาจภายในกองทัพอย่างรวดเร็ว 

จนกระทั่งปี 1983 เขาได้ก้าวขึ้นเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังป้องกันปานามา (PDF) และกลายเป็นผู้เผด็จการโดยพฤตินัยของประเทศในที่สุด

ในช่วงทศวรรษ 1980 หน่วยข่าวกรองอเมริกันมองว่าโนริเอกาเป็นผู้เล่นหลักในภูมิรัฐศาสตร์สงครามเย็น เนื่องจากเขาให้การสนับสนุนกบฏคอนทราฝ่ายขวาในนิการากัวอย่างไม่ลังเล

การที่เขาได้รับการจ่ายเงินจาก CIA ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้สหรัฐฯ เลือกที่จะมองข้ามความทุจริตและการค้ายาที่รายงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้ทำให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ ทำงานได้ยากในการปราบปรามอาชญากรรมของพันธมิตรคนสำคัญ 

ซึ่งทำให้องค์กรอาชญากรรมของโนริเอกาได้รับเกราะป้องกันทางการทูต และพัฒนาไปสู่การเป็นกิจการของรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบ

ในฐานะผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ โนริเอกาใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนในการกวาดล้างศัตรูทางการเมือง โจมตีสื่อ และสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองผ่าน "กิจกรรมทางอาญาอย่างโจ่งแจ้ง" อาณาจักรของเขาไม่ได้อาศัยแค่การฉ้อโกง แต่เป็นอาชญากรรมระดับรัฐ

พันธมิตรกับเครือข่ายยาเสพติดเมเดยิน

เพื่อสร้างความมั่งคั่ง โนริเอกาได้สร้างพันธมิตรโดยตรงกับองค์กรค้ายาโคลอมเบียที่โด่งดังที่สุดในโลก นั่นคือ เครือข่ายเมเดยิน (Medellín Cartel) ซึ่งนำโดยพาโบล เอสโคบาร์

ปานามาภายใต้การปกครองของโนริเอกากลายเป็นจุดแวะพักที่สำคัญสำหรับการขนส่งยาเสพติดข้ามชาติ โดยโนริเอกาได้รับสินบนและส่วนแบ่งจากผลกำไร เพื่อแลกกับการให้ความคุ้มครอง

คำฟ้องของสหรัฐฯ ในปี 1988 ระบุรายละเอียดว่า โนริเอกาคุ้มครองการขนส่งโคเคนไปยังสหรัฐฯ และจัดหาเคมีภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการผลิตโคเคน (เช่น อีเทอร์และอะซีโตน) ให้กับเครือข่าย

นอกจากนี้ เขายังจัดหาที่พักพิงและฐานปฏิบัติการให้แก่สมาชิกเครือข่ายเมเดยิน ภายหลังการกวาดล้างครั้งใหญ่ในโคลอมเบีย รายงานการสอบสวนยังระบุว่า โนริเอกาถึงขั้นเดินทางไปยังฮาวานา ประเทศคิวบา เพื่อพบกับประธานาธิบดีฟิเดล คาสโตร เพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างเครือข่ายเมเดยินกับคิวบาด้วย 

การกระทำเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า โนริเอกามีบทบาทเป็นผู้ดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ให้กับเครือข่ายยาเสพติดที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

ปานามา ศูนย์กลางการฟอกเงินระดับโลก

ภายใต้โนริเอกา ปานามากลายเป็น "สวรรค์" สำหรับการฟอกเงินยาเสพติดระหว่างประเทศ สองปัจจัยหลักที่ทำให้ปานามาเหมาะสำหรับการฟอกเงินคือ กฎหมายความลับของธนาคาร และการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินของตนเอง

โนริเอกามั่นใจว่าเงินที่ได้จากยาเสพติดจำนวนหลายล้านดอลลาร์จากสหรัฐฯ จะสามารถผ่านเข้าสู่ธนาคารของปานามาได้อย่างปลอดภัย หลักฐานการเงินชี้ว่า ระหว่างปี 1980 ถึง 1984 ปานามาได้ขนส่งเงินสดถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์ (ส่วนใหญ่เป็นธนบัตรใบเล็ก ซึ่งมักเป็นผลกำไรจากยาเสพติด) ไปยังธนาคารกลางสหรัฐฯ ในนิวยอร์กและไมอามี

ความมั่งคั่งที่ได้จากธุรกิจผิดกฎหมายนี้ไม่เพียงแต่ทำให้โนริเอกาสะสมทรัพย์สินส่วนตัวในธนาคารยุโรปและอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังทำให้กองทัพปานามามีความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลเผด็จการของเขา

อาชญากรรมที่เป็นจุดแตกหัก คดีฆาตกรรมสปาดาฟอรา

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดที่ทำให้สหรัฐฯ ไม่อาจทนต่อโนริเอกาได้อีกต่อไปคือการสังหาร ดร. ฮูโก สปาดาฟอรา ฟรังโก (Dr. Hugo Spadafora Franco)

สปาดาฟอราเป็นนายแพทย์และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อต้านโนริเอกาอย่างแข็งขัน โดยเขากล่าวหาโนริเอกาว่าเกี่ยวข้องกับการค้ายาและอาวุธ 

ก่อนเสียชีวิต สปาดาฟอราได้พบกับเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ (DEA) ในคอสตาริกา เพื่อให้รายละเอียดหลักฐานที่เขามีต่อโนริเอกา

ในเดือนกันยายน 1985 สปาดาฟอราถูกจับกุมในอาณาเขตปานามา ถูกทรมานอย่างแสนสาหัสและถูกตัดศีรษะ ร่างของเขาถูกพบในร่องน้ำใกล้ชายแดน โดยถูกห่อไว้ในถุงไปรษณีย์ของสหรัฐฯ 

ความพยายามของประธานาธิบดีนิโคลัส บาร์เล็ตตาในการสืบสวนคดีนี้ถูกตอบโต้ด้วยการถูกบีบให้ลาออก แสดงให้เห็นว่าโนริเอกาใช้ความรุนแรงระดับสุดขั้วเพื่อปกป้องเครือข่ายอาชญากรรมของตน 

การฆาตกรรมครั้งนี้ทำให้โนริเอกาเปลี่ยนสถานะจาก "ทรัพย์สินที่สร้างปัญหา" ไปเป็น "ภัยคุกคามที่ไม่อาจควบคุมได้" ซึ่งก่อให้เกิดความชอบธรรมทางศีลธรรมและการเมืองที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการทางทหารของสหรัฐฯ ในเวลาต่อมา

เมื่ออเมริกาเพื่อนรักไม่สนับสนุน

เมื่อถึงปี 1988 หน่วยงานของสหรัฐฯ ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความทุจริตของโนริเอกาได้อีกต่อไป คณะอนุกรรมการวุฒิสภาด้านการก่อการร้าย ยาเสพติด และปฏิบัติการระหว่างประเทศ สรุปว่า ความสัมพันธ์กับโนริเอกาเป็น "ความล้มเหลวที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ"

ในเดือนกุมภาพันธ์ 1988 โนริเอกาถูกฟ้องอย่างเป็นทางการในศาลเขตทางใต้ของฟลอริดาใน 8 ข้อหา รวมถึงการค้ายาเสพติด การฟอกเงิน และการกรรโชกทรัพย์

หลังจากที่โนริเอกาประกาศให้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 1989 เป็นโมฆะ และเพิ่มการข่มขู่พลเมืองอเมริกัน รัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์จ เอช.ดับเบิลยู. บุช จึงตัดสินใจสั่งการให้มีการแทรกแซงทางทหาร 

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงเป้าหมายในการฟื้นฟูประชาธิปไตย แต่ยังรวมถึงการ "ต่อสู้กับการค้ายาเสพติด" และปกป้องบูรณภาพของสนธิสัญญาคลองปานามา ซึ่งโนริเอกาถูกมองว่าคุกคามความมั่นคงของสหรัฐฯ

การรุกรานปานามาของสหรัฐฯ

ในเช้าตรู่ของวันที่ 20 ธันวาคม 1989 สหรัฐฯ ได้เปิดฉากปฏิบัติการ Just Cause ซึ่งเป็นการปฏิบัติการรบที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามเวียดนาม โดยระดมกำลังพลกว่า 27,000 นาย

วัตถุประสงค์หลักทางทหารคือ การปกป้องชีวิตชาวอเมริกัน การทำให้กองกำลัง PDF เป็นกลาง การฟื้นฟูรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง (กิเยร์โม เอนดารา) และที่สำคัญที่สุดคือ การจับกุมและส่งมอบโนริเอกาให้แก่หน่วยงานที่มีอำนาจ หน่วยรบพิเศษ (เช่น Navy SEALs) ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจเฉพาะกิจเพื่อทำลายเส้นทางหลบหนีของโนริเอกา รวมถึงเครื่องบิน Learjet ส่วนตัวของเขา

การปิดล้อมวาติกันด้วยเพลงร็อก

โนริเอกาหลบหนีการจับกุมและไปขอลี้ภัยในสำนักทูตวาติกัน (Apostolic Nunciature) ในปานามาซิตี การปิดล้อมใช้เวลา 10 วัน โดยสหรัฐฯ ใช้ยุทธวิธีสงครามจิตวิทยาที่ไม่ธรรมดาภายใต้ปฏิบัติการ Nifty Package

กองกำลังสหรัฐฯ ได้ล้อมอาคารไว้และเปิดเพลงร็อกเสียงดังอย่างต่อเนื่อง ทั้งเพลงร็อกและเฮฟวีเมทัล เพื่อรบกวนและกดดันผู้เผด็จการให้ยอมจำนน 

เพลงที่ถูกเปิดอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ "Welcome to the Jungle" และ "I Fought the Law" 22 แม้ว่ายุทธวิธีนี้จะบรรลุเป้าหมาย แต่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนของสหรัฐฯ ก็วิพากษ์วิจารณ์ในภายหลังว่าเป็นการดำเนินการที่ "น่าตำหนิ" และ "ไม่สง่างาม"

ในที่สุด โนริเอกาก็ทนแรงกดดันไม่ไหว และยอมจำนนต่อทางการสหรัฐฯ ในวันที่ 3 มกราคม 1990 และถูกส่งตัวไปยังรัฐฟลอริดา

คดีประวัติศาสตร์ในไมอามี

การพิจารณาคดีของโนริเอกาในสหรัฐฯ ถือเป็นเหตุการณ์ทางกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นคดีอาญาครั้งแรกที่สหรัฐฯ ฟ้องร้องผู้เผด็จการที่ยังอยู่ในอำนาจ

ทนายฝ่ายจำเลยของโนริเอกาพยายามอ้างสิทธิ์ในความคุ้มกันในฐานะประมุขแห่งรัฐ แต่ศาลได้ปฏิเสธข้ออ้างนี้ โดยกำหนดบรรทัดฐานทางกฎหมายที่สำคัญเกี่ยวกับขอบเขตอำนาจศาลนอกอาณาเขตสำหรับอาชญากรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแต่ส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ (เช่น การค้ายาเสพติด)

หลังจากการไต่สวนนานเจ็ดเดือน โนริเอกาถูกตัดสินจำคุก 40 ปี (ลดลงในภายหลัง) ในข้อหาการค้ายาเสพติด การฟอกเงิน และการกรรโชกทรัพย์ เขาได้รับสถานะเชลยศึก (POW) ในช่วงสั้นๆ ทำให้เขาได้รับสิทธิพิเศษในการจำคุก

ความรับผิดชอบระดับโลกและการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

กระบวนการยุติธรรมของโนริเอกาไม่ได้สิ้นสุดในสหรัฐฯ แต่ดำเนินไปทั่วโลก หลังรับโทษครบ 17 ปีในสหรัฐฯ ในปี 2007 เขาก็ถูกส่งตัวไปยังประเทศฝรั่งเศสในปี 2010 เพื่อเผชิญกับข้อหาฟอกเงินศาลฝรั่งเศสตัดสินว่าเขามีความผิดและกำหนดโทษจำคุก 7 ปี

ในปี 2011 รัฐบาลฝรั่งเศสอนุมัติคำขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากปานามา โนริเอกาจึงถูกส่งกลับประเทศบ้านเกิด เพื่อเผชิญกับโทษจำคุกที่รออยู่เป็นเวลารวม 60 ปี ในข้อหาอาชญากรรมต่างๆ รวมถึงคดีฆาตกรรม ดร. สปาดาฟอรา

มานูเอล โนริเอกา จะถูกจดจำในประวัติศาสตร์ในฐานะผู้เผด็จการค้ายา (narco-dictator) ตัวจริง เรื่องราวของเขาคือข้อพิสูจน์ถึงความอันตรายของการประนีประนอมทางยุทธศาสตร์ในระดับโลก

ความสัมพันธ์อันยาวนานของเขากับหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า การที่วอชิงตันเลือกที่จะให้ความสำคัญกับการหยุดยั้งคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็นเหนือกว่าการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านยาเสพติด ได้ทำให้ "ทรัพย์สิน" ที่ทุจริตคนหนึ่ง สามารถยกระดับกิจกรรมทางอาญาให้กลายเป็นจักรวรรดิที่ต้องใช้ปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่และมีค่าใช้จ่ายสูงในการรื้อถอนในท้ายที่สุด

การที่โนริเอกาถูกจับกุม และต้องเผชิญกับกระบวนการยุติธรรมที่ซับซ้อนในสามประเทศ (สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และปานามา) โดยเฉพาะการถูกปฏิเสธความคุ้มกันในฐานะประมุขแห่งรัฐ เป็นการตอกย้ำว่า แม้แต่ผู้เผด็จการที่ได้รับการคุ้มครองทางการเมืองก็ไม่สามารถอยู่เหนือกฎหมายสากลได้ตลอดไป 

การล่มสลายของเขาไม่เพียงแต่ทำให้ปานามาสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการยุติการควบคุมประเทศโดยกองทัพอย่างถาวร ซึ่งถือเป็นมรดกที่สำคัญที่สุดที่หลงเหลือจากการโค่นล้มผู้นำที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งคนนี้

อ้างอิง

Adst / Pbs / Noiser / Ebsco / Britannica / Coffee / Justia / Cia / Cidh / Gov / TMW / Loc / Veterans / Army / Navy / Ojb / Law2 / TheGuardian /

related