
SHORT CUT
โคอิซึมิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ผู้ปฏิรูปประชานิยม ต้นกำเนิดเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเต็มรูปแบบ ใช้พลังประชาชนทลายระบบกลุ่มก้อน LDP แปรรูปไปรษณีย์
นายกรัฐมนตรีจูนิชิโร โคอิซึมิ ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 2001 จนถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 การบริหารประเทศของเขาถูกจดจำในฐานะช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและฉับพลันที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคหลังสงคราม การเข้ามาสู่อำนาจของโคอิซึมิอาศัยความนิยมจากสาธารณชนโดยตรง เพื่อเอาชนะระบบการเมืองแบบกลุ่มก้อนดั้งเดิมของพรรค Liberal Democratic Party (LDP) และนำวาระการปฏิรูปที่แข็งกร้าวมาใช้ภายใต้ปรัชญา "Structural Reforms Without Sacred Cows"
นโยบายเรือธงของเขาคือการแปรรูปไปรษณีย์ญี่ปุ่น (Japan Post Privatization) ซึ่งมิใช่เพียงการปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กร แต่เป็นการทำลายรากฐานทางการเงินที่ค้ำจุนกลไกการเมืองแบบอุปถัมภ์ของ LDP มายาวนาน
นอกจากนี้ การบริหารประเทศของเขายังโดดเด่นในเวทีระหว่างประเทศจากการยืนยันความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ผ่านการส่งกองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) ไปอิรัก และการจุดชนวนความขัดแย้งทางการทูตในภูมิภาคผ่านการเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ
หลังจากเกษียณจากตำแหน่งในปี ค.ศ. 2006 โคอิซึมิยังคงแสดงบทบาทที่ท้าทายฉันทามติของพรรค โดยกลับมาเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์อย่างเปิดเผยหลังภัยพิบัติฟุกุชิมะในปี ค.ศ. 2011
ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 และต้นปี 2000 ประเทศญี่ปุ่นเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า "ทศวรรษที่หายไป" (Lost Decades) ซึ่งเป็นภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ยาวนาน ระบบธนาคารเต็มไปด้วยหนี้เสียจำนวนมหาศาล และความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อสถาบันทางการเมืองตกต่ำอย่างรุนแรง
พรรค LDP ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลมายาวนานประสบกับวิกฤตความน่าเชื่อถือ เนื่องจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและติดอยู่ในวงจรของกลุ่มก้อนทางการเมืองที่เน้นการจัดสรรผลประโยชน์ สภาพการณ์ที่บีบคั้นนี้ได้สร้างความต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากประชาชน
โคอิซึมิได้ใช้ประโยชน์จากความสิ้นหวังของสาธารณชน โดยนำเสนอวาทกรรมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังเพื่อขายวาระการปฏิรูป คำกล่าวหลักของเขาคือ "Without Structural Reforms There Can Be No Economic Recovery" (หากไม่มีการปฏิรูปโครงสร้าง จะไม่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ) และ "Structural Reforms Without Sacred Cows"
ซึ่งสื่อถึงการทำลายระบบอุปถัมภ์ทางการเมืองที่ถูกมองว่าเป็นสาเหตุของความซบเซาทางเศรษฐกิจ ความสำเร็จของเขาในการเข้าสู่ตำแหน่งประธาน LDP ในปี ค.ศ. 2001 ซึ่งเป็นผลจากการได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากสมาชิกระดับจังหวัดและรากหญ้า
สะท้อนให้เห็นว่าความสำเร็จของวาทกรรมประชานิยมของเขามีความสัมพันธ์โดยตรงกับความต้องการของสาธารณชนในการต่อต้านการปกครองแบบคณาธิปไตยของ LDP ดั้งเดิม
การขึ้นสู่อำนาจของโคอิซึมิถือเป็นการสั่นคลอนกลไกการทำงานของ LDP อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากชัยชนะของเขาเกิดขึ้นได้บางส่วนจากการที่กฎการลงคะแนนเสียงภายในพรรคได้เพิ่มน้ำหนักให้กับผู้แทนระดับจังหวัด
เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้นักการเมืองที่ถูกมองว่าเป็น "คนนอก" อย่างโคอิซึมิ สามารถใช้อารมณ์ต่อต้านสถาบันของประชาชนมาเป็นพลังในการยึดกุมกลไกอำนาจภายในพรรคได้สำเร็จ
จูนิชิโร โคอิซึมิ เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1942 ที่เมืองโยโกซูกะ จังหวัดคานางาวะ ซึ่งเป็นฐานทัพเรือที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ เขากำเนิดในตระกูลนักการเมืองที่สืบทอดอำนาจมาถึงสามรุ่น (third-generation politician)
เป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญที่แสดงให้เห็นว่า แม้โคอิซึมิจะถูกมองว่าเป็นผู้ต่อต้านสถาบัน แต่เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในระบบและกลไกการเมืองของ LDP การศึกษาของเขามุ่งเน้นไปที่เศรษฐศาสตร์ โดยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเคโอ (Keio University) ในปี ค.ศ. 1967
การศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์นี้ได้เตรียมความพร้อมเชิงวิชาการให้แก่เขาสำหรับวาระการปฏิรูปเศรษฐกิจที่เขานำเสนอในภายหลัง
โคอิซึมิได้รับเลือกเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในปี ค.ศ. 1972 และได้รับการเลือกตั้งซ้ำมากกว่าสิบครั้ง ประสบการณ์ของเขาก่อนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีประกอบด้วยการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่สำคัญหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ (Health and Welfare Minister) ในช่วงปี ค.ศ. 1988–1989 และอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ. 1996–1998
รวมถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม (Minister of Posts and Telecommunications) ในปี ค.ศ. 1992–1993
บทบาทในฐานะรัฐมนตรีไปรษณีย์และโทรคมนาคมนี้ไม่ได้เป็นเพียงประสบการณ์ชั่วคราว แต่เป็นสิ่งที่กำหนดเส้นทางการปฏิรูปของเขาในอนาคต การดำรงตำแหน่งนี้ทำให้โคอิซึมิได้รับความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับโครงสร้างการเงินที่ซับซ้อนของไปรษณีย์ญี่ปุ่นและระบบการใช้จ่ายเงินทุนของรัฐบาล
ความเข้าใจภายในเกี่ยวกับจุดอ่อนและจุดแข็งขององค์กรขนาดมหึมานี้ ทำให้เขาสามารถกำหนดนโยบายการแปรรูปในอีกหนึ่งทศวรรษต่อมาได้อย่างแม่นยำ การที่เขามีความรู้เชิงสถาบันนี้โดยตรงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาสามารถออกแบบแผนการรื้อถอนการควบคุมเงินฝากไปรษณีย์ของกระทรวงการคลัง (Ministry of Finance's Trust Fund Bureau) ได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงระหว่างความรู้ในการปฏิบัติงานเข้ากับการผลักดันนโยบายที่รุนแรง
โคอิซึมิถูกอธิบายว่าเป็นนักการเมืองที่ "พูดจาโผงผางและตรงไปตรงมา" และมีบุคลิกแบบ "สันโดษ"
เขามักแสดงความรังเกียจต่อการสมคบคิดและการตัดสินใจด้วยการสร้างฉันทามติหลังฉาก ซึ่งเป็นลักษณะการทำงานแบบดั้งเดิมของ LDP และได้พยายามดึงดูดความรู้สึกของสาธารณชนระดับรากหญ้าแทน
ก่อนการคว้าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 2001 โคอิซึมิล้มเหลวในการลงชิงตำแหน่งประธาน LDP ถึงสองครั้งในปี ค.ศ. 1995 และ ค.ศ. 1998
ความพ่ายแพ้ซ้ำๆ เหล่านี้กลับมีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ทางการเมืองของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นในฐานะผู้ปฏิรูปที่ไม่ประนีประนอมและเป็นผู้ที่ถูกชนชั้นนำของพรรคกีดกันอย่างต่อเนื่อง
การพ่ายแพ้เหล่านี้ทำให้เขาสามารถรวบรวมอัตลักษณ์ในฐานะนักปฏิรูปที่สม่ำเสมอและไม่ยอมจำนนต่อระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจอย่างมากต่อผู้ลงคะแนนเสียงที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงในปี ค.ศ. 2001
นอกจากวาทกรรมทางการเมืองแล้ว โคอิซึมิยังสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าถึงได้ด้วยการแสดงความสนใจในวัฒนธรรมสมัยนิยม เช่น การเป็นแฟนเพลงตัวยงของเอลวิส เพรสลีย์
การใช้เสน่ห์แบบประชานิยมนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการดึงดูดคะแนนเสียงจากสาธารณชนและเอาชนะผู้สมัครที่เน้นกลุ่มก้อนทางการเมือง (เช่น เรียวทาโร ฮาชิโมโตะ และ ชิซูกะ คาเมอิ) ในการเลือกตั้งประธาน LDP ปี ค.ศ. 2001
ชัยชนะของโคอิซึมิในการเป็นประธาน LDP เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2001 ไม่ได้มาจากกลไกของกลุ่มก้อนแบบดั้งเดิม แต่มาจากฐานการสนับสนุนระดับรากหญ้าและผู้แทนระดับจังหวัด การได้รับอาณัติจากสาธารณชนโดยตรงนี้ทำให้เขามีอำนาจทางการเมืองที่เหนือกว่าการต่อต้านภายในพรรค
เมื่อได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 87 ในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 2001 โคอิซึมิได้ทำตามคำมั่นสัญญาโดยการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีบนพื้นฐานของความสามารถ (meritocracy) แทนที่จะใช้โควต้าตามการจัดสรรผลประโยชน์ของกลุ่มก้อน
การนำบุคคลภายนอก นักการเมืองหญิง และนักการเมืองรุ่นใหม่ (เช่น ชินโซ อาเบะ) เข้ามาดำรงตำแหน่งที่สำคัญได้สร้างความเชื่อมั่นอย่างสูงต่อวาระการปฏิรูปในสายตาของสาธารณชน การใช้การแต่งตั้งตามความสามารถนี้มิใช่เพียงการแสดงออกถึงความโปร่งใส แต่ยังเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ในการรวมศูนย์อำนาจอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
เนื่องจากคณะรัฐมนตรีเหล่านี้มีความภักดีโดยตรงต่อโคอิซึมิ ในฐานะผู้แต่งตั้ง ทำให้เขาปกครองประเทศได้อย่างมั่นคงและสามารถผลักดันการปฏิรูปที่ไม่เป็นที่นิยมทางการเมืองได้โดยไม่ต้องกังวลถึงการประท้วงภายในพรรคที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นระบบ
โคอิซึมิสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้นานกว่าห้าปี (จนถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 2006) ทำให้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดเป็นอันดับหกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ความมั่นคงในอำนาจนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการผลักดันวาระการปฏิรูปที่ลึกซึ้ง
การปฏิรูปของโคอิซึมิครอบคลุมหลายด้าน โดยมีเป้าหมายหลักคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซา
ซึ่งเป็นการลดบทบาทของรัฐบาลกลางและส่งเสริมการแข่งขันและการกระจายอำนาจ
วาระการปฏิรูปของโคอิซึมิไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภาคการเงินและการบริหารเท่านั้น แต่ยังท้าทาย 'วัวศักดิ์สิทธิ์' ทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของ LDP นั่นคือภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นฐานเสียงแบบอนุรักษ์นิยมที่แข็งแกร่ง
นโยบายของเขาได้กำหนดเป้าหมายในการทบทวนนโยบายการสนับสนุนภาคเกษตรกรรมแบบครอบคลุม โดยมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่กรอบการทำงานใหม่ที่เน้นการให้การสนับสนุนของรัฐบาลกับ "highly motivated and capable farmers" (เกษตรกรที่มีแรงจูงใจและความสามารถสูง) เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการทบทวนระบบการผลิตและการจำหน่ายข้าวด้วย
การรวมการปฏิรูปเกษตรกรรมเข้าในวาระของเขาบ่งชี้ว่าเป้าหมายของโคอิซึมิไม่ใช่แค่การทำความสะอาดทางการเงิน แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจากระบบอุปถัมภ์/การปกป้อง ไปสู่การแข่งขันตามความสามารถในทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า โคอิซึมิ ทิ้งมรดกให้กับญี่ปุ่นมากมาย หนึ่งในมรดกสำคัญคือการสร้างจุดเปลี่ยนทางนโยบายการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเกิดขึ้นเมื่อนายกรัฐมนตรีโคอิซึมิได้กล่าวสุนทรสุนทรพจน์นโยบายในวันที่ 31 มกราคม 2003 โดยได้ประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนและมีแรงบันดาลใจ "จะเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชมจากต่างประเทศเป็นสองเท่าให้ถึง 10 ล้านคนภายในปี 2010" การประกาศนี้เป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของการให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวขาเข้าในระดับสูงสุด
เพื่อผลักดันเป้าหมายดังกล่าว "Visit Japan Campaign" (VJC) จึงถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2003 โดยใช้คำขวัญว่า 'Yokoso! Japan!'
แคมเปญนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในเชิงประวัติศาสตร์ เนื่องจากการวิเคราะห์ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าในช่วงหลังสงคราม ญี่ปุ่นเคยเป็นประเทศในกลุ่ม G7 ที่มีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมน้อยที่สุด โดยมีนโยบายที่มักจะเน้นการท่องเที่ยวขาออกมากกว่าขาเข้า
VJC จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ที่รัฐบาลได้ใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือเชิงรุกระดับชาติเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซา การวางเป้าหมายเชิงปริมาณที่สูงเช่นนี้เป็นการกำหนดทิศทางเชิงรุกสำหรับการเติบโตในอนาคตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น
นโยบาย VJC ประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 5.21 ล้านคนในปี 2003 เป็น 8.35 ล้านคนในปี 2007 และ 2008 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรวดเร็วและประสิทธิภาพของมาตรการเชิงรุกที่รัฐบาลดำเนินการ
ในขณะที่การเติบโตของนักท่องเที่ยวขาเข้าเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจมหภาค แต่การมุ่งเน้น "ปริมาณ" ได้ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในท้องถิ่น คือ "Overtourism"
Overtourism ถูกนิยามว่าเป็นการแออัดในจุดหมายปลายทางที่มากเกินไปจนทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นและผู้มาเยือน ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวเป็นเหมือนดาบสองคม
โดยทั่วไปแล้ว ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่มองว่าการเติบโตของการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นสำหรับการรักษาคุณภาพชีวิต
แต่ทัศนคตินี้จะเปลี่ยนไปทันทีที่ชีวิตประจำวันของพวกเขาได้รับผลกระทบจากการเสื่อมถอยของบริการสาธารณะหรือความแออัดยัดเยียด หากไม่มีระบบการจัดการการท่องเที่ยวที่เหมาะสม ผลกระทบเชิงลบต่อชุมชนท้องถิ่นก็จะเกิดขึ้นตามมา
นักท่องเที่ยวจำนวนมากใช้โครงสร้างพื้นฐาน สินค้า และบริการของท้องถิ่นมากเกินไป ซึ่งรวมถึงถนนหนทางและระบบสาธารณูปโภค แต่ไม่ได้เพิ่มฐานภาษีให้กับรัฐบาลท้องถิ่นในสัดส่วนที่เท่ากันเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
การใช้ทรัพยากรที่เกินความสามารถในการรองรับยังส่งผลกระทบต่อความยืดหยุ่นของระบบนิเวศในท้องถิ่นอีกด้วย การขาดสมดุลระหว่างการใช้จ่ายกับการชดเชยค่าโครงสร้างพื้นฐานนี้เป็นความท้าทายที่รัฐบาลท้องถิ่นทั่วประเทศญี่ปุ่นกำลังเผชิญ
เกียวโตเป็นเมืองตัวอย่างที่เห็นผลกระทบของ Overtourism อย่างชัดเจน โดยจำนวนผู้เข้าพักในเมืองนี้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 7.2 เท่า ระหว่างปี 2010 ถึง 2019
การศึกษาวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของ Overtourism ในเกียวโตได้ดำเนินการโดย Sachiyo Asahi จาก คณะมนุษยศาสตร์ กฎหมาย และเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิเอะ และ Eri Habu จากส่วนงานบริการให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางกฎหมาย, วิทยาลัยสหวิทยาการระดับโลก จากมหาวิทยาลัยชิซึโอกะ
ผลการสำรวจพลเมืองเกียวโตชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ผกผันระหว่างการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวกับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ผู้อยู่อาศัยแสดงความเห็นในเชิงลบมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรู้สึกว่าเกียวโต 'เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ใช้ชีวิตง่ายสำหรับพลเมืองน้อยลง'
เนื่องจากปัญหาความแออัด 14 ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ผกผันระหว่างจำนวนนักท่องเที่ยวกับความสะดวกในการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในเกียวโต 14
นอกจากชาวเมืองแล้ว ตัวนักท่องเที่ยวเองก็แสดงความผิดหวังในการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติมักมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหา การขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟและรถประจำทาง 14 ในขณะที่นักท่องเที่ยวในประเทศบ่นเรื่อง ความแออัดและปัญหาด้านมารยาท 14
จากการวิเคราะห์ดังกล่าว Asahi และ Habu ได้สรุปคำแนะนำเชิงนโยบาย โดยระบุว่าเมืองเกียวโตจำเป็นต้องพิจารณามาตรการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยว 14 หนึ่งในมาตรการที่ถูกพิจารณาคือ การจัดตั้งภาษีการท่องเที่ยว
เพื่อนำรายได้มาจัดการกับผลกระทบเชิงลบและชดเชยการใช้โครงสร้างพื้นฐานนอกจากนี้ มีการแนะนำให้มีการจัดการจุดหมายปลายทาง โดยพยายามกระจายผู้เยี่ยมชมตามช่วงเวลาและสถานที่ รวมถึงการใช้ข้อมูลเรียลไทม์เพื่อแนะนำจุดท่องเที่ยวทางเลือกแทนจุดยอดนิยมที่มีผู้คนหนาแน่น เพื่อบรรเทาความแออัด
ความตึงเครียดในภูมิภาคและการเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ
ในขณะที่วาระการปฏิรูปเศรษฐกิจของโคอิซึมิมีลักษณะเสรีนิยม การแสดงออกในด้านการต่างประเทศกลับมีแนวโน้มอนุรักษ์นิยมและชาตินิยมมากขึ้น การเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิของโคอิซึมิหลายครั้ง ได้สร้างความตึงเครียดทางการทูตอย่างรุนแรงกับจีนและเกาหลีใต้
การใช้ความแข็งกร้าวในนโยบายต่างประเทศ (เช่น การเยือนยาสุกุนิ) และนโยบายความมั่นคง (เช่น การส่ง SDF ไปอิรัก) ถูกมองว่าเป็นความพยายามในการสร้างความสมดุลเพื่อชดเชยลักษณะของการปฏิรูปเศรษฐกิจภายในที่รุนแรงและทำลายสถานะเดิม
การกระทำเหล่านี้มีความจำเป็นทางการเมืองเพื่อพิสูจน์ให้ฐานเสียงอนุรักษ์นิยมของ LDP เห็นว่า แม้เขาจะโจมตีผลประโยชน์ทางการเงินของพวกเขาผ่านการแปรรูปไปรษณีย์ แต่โดยพื้นฐานแล้วเขายังคงเป็นชาตินิยมที่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นการบริหารจัดการความแตกแยกทางอุดมการณ์ภายในพรรคอย่างชาญฉลาดเพื่อให้วาระการปฏิรูปเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้
โคอิซึมิสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 เนื่องจากติดข้อจำกัดด้านวาระการเป็นประธานพรรค LDP เขาได้รับการสืบทอดตำแหน่งโดย ชินโซ อาเบะ ซึ่งเป็นผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีของโคอิซึมิ โคอิซึมิได้เกษียณจากสภาผู้แทนราษฎรในปี ค.ศ. 2009
แม้จะรักษาระดับความสนใจในที่สาธารณะไว้ในระดับต่ำในช่วงหลายปีแรกหลังเกษียณ แต่หลังจากภัยพิบัติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะในปี ค.ศ. 2011 โคอิซึมิได้กลับมาสู่ความสนใจของชาติอีกครั้งในปี ค.ศ. 2013 ในฐานะผู้เรียกร้องให้ยกเลิกพลังงานนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น โดย advocating for "zero nuclear power plants"
จุดยืนใหม่นี้ขัดแย้งกับทัศนะที่สนับสนุนนิวเคลียร์ของรัฐบาล LDP ทั้งในระหว่างและหลังสมัยของเขา การเลือกที่จะยืนหยัดต่อต้านนโยบายหลักของพรรคที่ตนเองเคยนำ แสดงให้เห็นถึงความสม่ำเสมอในบุคลิกที่ชอบ "ท้าทายฉันทามติทางการเมือง"
หลังจากที่ภารกิจทางเศรษฐกิจของเขาเสร็จสิ้น (การแปรรูปไปรษณีย์) เขาก็ได้นำไฟแห่งการปฏิรูปเชิงประชานิยมที่เคยก่อขึ้นไปใช้ในภารกิจทางอุดมการณ์ครั้งใหม่ การกระทำนี้เป็นการยืนยันว่าปรัชญา "การปฏิรูปโครงสร้างโดยไม่มีวัวศักดิ์สิทธิ์" ของเขาได้ถูกนำมาใช้กับอุดมการณ์ด้วยเช่นกัน ซึ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของเขาในฐานะนักการเมืองผู้ทำลายรูปแบบ
มรดกทางการเมืองของโคอิซึมิยังคงอยู่ผ่านบุตรชายของเขา ชินจิโร โคอิซึมิ ซึ่งได้รับเลือกให้สืบทอดที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรต่อจากบิดาในปี ค.ศ. 2009
ชินจิโรได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีที่สำคัญในพรรค LDP ยุคใหม่ โดยเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม (2019–2021) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง (พฤษภาคม 2025) ความต่อเนื่องของอิทธิพลนี้แสดงให้เห็นว่าตระกูลโคอิซึมิยังคงเป็นกำลังสำคัญในโครงสร้างอำนาจของ LDP ที่ผ่านการปรับปรุงให้ทันสมัยแล้ว
การบริหารประเทศของจูนิชิโร โคอิซึมิก่อให้เกิดผลกระทบเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืน การปฏิรูปไปรษณีย์ญี่ปุ่นถูกสถาปนาขึ้นอย่างมั่นคงในปี ค.ศ. 2007 และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุดในรอบหลายทศวรรษในญี่ปุ่น ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวกับประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงกลไกทางการเมืองภายในของ LDP ด้วย
โคอิซึมิได้เปลี่ยนวิธีการหาเสียงของ LDP โดยทำให้พรรคสามารถพึ่งพาความนิยมส่วนตัวและวาระการปฏิรูปที่ชัดเจนได้มากขึ้น แทนที่จะพึ่งพาระบบอุปถัมภ์ทางการเงินแบบเก่า
โคอิซึมิเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จในการรวมอำนาจและผลักดันนโยบายที่สร้างความขัดแย้งอย่างรุนแรง โดยใช้ฐานความนิยมจากสาธารณชนเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมืองในช่วงที่จำเป็นต้องมีการตัดสินใจที่ยากลำบาก การที่เขาประสบความสำเร็จในการตัดหลอดเลือดทางการเงินของพรรค (ผ่านการแปรรูปไปรษณีย์) และสร้างรูปแบบคณะรัฐมนตรีที่เน้นความสามารถ ทำให้เขาได้สร้างสภาวะที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของผู้นำ LDP ในรุ่นต่อไป
อ้างอิง
JAP / JAP1 / Clair / Tokyo / Jimin / Fact / Eik / Scribd / Rieb / Mig / RG / Chukyo / EY / Britannica / Japan / Csis / Mofa /