svasdssvasds

โคอิซึมิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ผู้ให้กำเนิด Visit Japan Campaign

โคอิซึมิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ผู้ให้กำเนิด Visit Japan Campaign

โคอิซึมิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ผู้ปฏิรูปประชานิยม ต้นกำเนิดเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเต็มรูปแบบ ใช้พลังประชาชนทลายระบบกลุ่มก้อน LDP แปรรูปไปรษณีย์

SHORT CUT

  • โคอิซึมิขึ้นสู่อำนาจ (2001–2006) โดยอาศัยความนิยมจากสาธารณชนโดยตรงเพื่อเอาชนะระบบการเมืองแบบกลุ่มก้อนดั้งเดิมของพรรค LDP
  • โคอิซึมิได้ประกาศเป้าหมายเชิงรุกเพื่อใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเปิดตัวแคมเปญ "Visit Japan Campaign" (VJC) ในปี 2003 ซึ่งประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างรวดเร็ว
  • โคอิซึมิใช้ความแข็งกร้าวในนโยบายต่างประเทศ เช่น การส่งกองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) ไปอิรัก และการเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิหลายครั้ง ซึ่งสร้างความตึงเครียดทางการทูตอย่างรุนแรงกับจีนและเกาหลีใต้

โคอิซึมิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ผู้ปฏิรูปประชานิยม ต้นกำเนิดเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเต็มรูปแบบ ใช้พลังประชาชนทลายระบบกลุ่มก้อน LDP แปรรูปไปรษณีย์

นายกรัฐมนตรีจูนิชิโร โคอิซึมิ ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 2001 จนถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 การบริหารประเทศของเขาถูกจดจำในฐานะช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและฉับพลันที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคหลังสงคราม การเข้ามาสู่อำนาจของโคอิซึมิอาศัยความนิยมจากสาธารณชนโดยตรง เพื่อเอาชนะระบบการเมืองแบบกลุ่มก้อนดั้งเดิมของพรรค Liberal Democratic Party (LDP) และนำวาระการปฏิรูปที่แข็งกร้าวมาใช้ภายใต้ปรัชญา "Structural Reforms Without Sacred Cows"

นโยบายเรือธงของเขาคือการแปรรูปไปรษณีย์ญี่ปุ่น (Japan Post Privatization) ซึ่งมิใช่เพียงการปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กร แต่เป็นการทำลายรากฐานทางการเงินที่ค้ำจุนกลไกการเมืองแบบอุปถัมภ์ของ LDP มายาวนาน

นอกจากนี้ การบริหารประเทศของเขายังโดดเด่นในเวทีระหว่างประเทศจากการยืนยันความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ผ่านการส่งกองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) ไปอิรัก และการจุดชนวนความขัดแย้งทางการทูตในภูมิภาคผ่านการเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ 

หลังจากเกษียณจากตำแหน่งในปี ค.ศ. 2006 โคอิซึมิยังคงแสดงบทบาทที่ท้าทายฉันทามติของพรรค โดยกลับมาเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์อย่างเปิดเผยหลังภัยพิบัติฟุกุชิมะในปี ค.ศ. 2011

จูนิชิโร โคอิซึมิ ในฐานะผู้ปฏิรูปที่ขับเคลื่อนด้วยประชานิยม 

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 และต้นปี 2000 ประเทศญี่ปุ่นเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า "ทศวรรษที่หายไป" (Lost Decades) ซึ่งเป็นภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ยาวนาน ระบบธนาคารเต็มไปด้วยหนี้เสียจำนวนมหาศาล และความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อสถาบันทางการเมืองตกต่ำอย่างรุนแรง 

พรรค LDP ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลมายาวนานประสบกับวิกฤตความน่าเชื่อถือ เนื่องจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและติดอยู่ในวงจรของกลุ่มก้อนทางการเมืองที่เน้นการจัดสรรผลประโยชน์ สภาพการณ์ที่บีบคั้นนี้ได้สร้างความต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากประชาชน

โคอิซึมิได้ใช้ประโยชน์จากความสิ้นหวังของสาธารณชน โดยนำเสนอวาทกรรมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังเพื่อขายวาระการปฏิรูป คำกล่าวหลักของเขาคือ "Without Structural Reforms There Can Be No Economic Recovery" (หากไม่มีการปฏิรูปโครงสร้าง จะไม่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ) และ "Structural Reforms Without Sacred Cows" 

ซึ่งสื่อถึงการทำลายระบบอุปถัมภ์ทางการเมืองที่ถูกมองว่าเป็นสาเหตุของความซบเซาทางเศรษฐกิจ ความสำเร็จของเขาในการเข้าสู่ตำแหน่งประธาน LDP ในปี ค.ศ. 2001 ซึ่งเป็นผลจากการได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากสมาชิกระดับจังหวัดและรากหญ้า 

สะท้อนให้เห็นว่าความสำเร็จของวาทกรรมประชานิยมของเขามีความสัมพันธ์โดยตรงกับความต้องการของสาธารณชนในการต่อต้านการปกครองแบบคณาธิปไตยของ LDP ดั้งเดิม

การขึ้นสู่อำนาจของโคอิซึมิถือเป็นการสั่นคลอนกลไกการทำงานของ LDP อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากชัยชนะของเขาเกิดขึ้นได้บางส่วนจากการที่กฎการลงคะแนนเสียงภายในพรรคได้เพิ่มน้ำหนักให้กับผู้แทนระดับจังหวัด 

เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้นักการเมืองที่ถูกมองว่าเป็น "คนนอก" อย่างโคอิซึมิ สามารถใช้อารมณ์ต่อต้านสถาบันของประชาชนมาเป็นพลังในการยึดกุมกลไกอำนาจภายในพรรคได้สำเร็จ

ภูมิหลังและเส้นทางก่อนดำรงตำแหน่ง รากฐานของนักการเมืองสายปฏิรูป 

จูนิชิโร โคอิซึมิ เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1942 ที่เมืองโยโกซูกะ จังหวัดคานางาวะ ซึ่งเป็นฐานทัพเรือที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ เขากำเนิดในตระกูลนักการเมืองที่สืบทอดอำนาจมาถึงสามรุ่น (third-generation politician)

เป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญที่แสดงให้เห็นว่า แม้โคอิซึมิจะถูกมองว่าเป็นผู้ต่อต้านสถาบัน แต่เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในระบบและกลไกการเมืองของ LDP การศึกษาของเขามุ่งเน้นไปที่เศรษฐศาสตร์ โดยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเคโอ (Keio University) ในปี ค.ศ. 1967 

การศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์นี้ได้เตรียมความพร้อมเชิงวิชาการให้แก่เขาสำหรับวาระการปฏิรูปเศรษฐกิจที่เขานำเสนอในภายหลัง

โคอิซึมิได้รับเลือกเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในปี ค.ศ. 1972 และได้รับการเลือกตั้งซ้ำมากกว่าสิบครั้ง ประสบการณ์ของเขาก่อนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีประกอบด้วยการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่สำคัญหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ (Health and Welfare Minister) ในช่วงปี ค.ศ. 1988–1989 และอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ. 1996–1998 

รวมถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม (Minister of Posts and Telecommunications) ในปี ค.ศ. 1992–1993

บทบาทในฐานะรัฐมนตรีไปรษณีย์และโทรคมนาคมนี้ไม่ได้เป็นเพียงประสบการณ์ชั่วคราว แต่เป็นสิ่งที่กำหนดเส้นทางการปฏิรูปของเขาในอนาคต การดำรงตำแหน่งนี้ทำให้โคอิซึมิได้รับความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับโครงสร้างการเงินที่ซับซ้อนของไปรษณีย์ญี่ปุ่นและระบบการใช้จ่ายเงินทุนของรัฐบาล

ความเข้าใจภายในเกี่ยวกับจุดอ่อนและจุดแข็งขององค์กรขนาดมหึมานี้ ทำให้เขาสามารถกำหนดนโยบายการแปรรูปในอีกหนึ่งทศวรรษต่อมาได้อย่างแม่นยำ การที่เขามีความรู้เชิงสถาบันนี้โดยตรงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาสามารถออกแบบแผนการรื้อถอนการควบคุมเงินฝากไปรษณีย์ของกระทรวงการคลัง (Ministry of Finance's Trust Fund Bureau) ได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงระหว่างความรู้ในการปฏิบัติงานเข้ากับการผลักดันนโยบายที่รุนแรง

โคอิซึมิถูกอธิบายว่าเป็นนักการเมืองที่ "พูดจาโผงผางและตรงไปตรงมา" และมีบุคลิกแบบ "สันโดษ"

เขามักแสดงความรังเกียจต่อการสมคบคิดและการตัดสินใจด้วยการสร้างฉันทามติหลังฉาก ซึ่งเป็นลักษณะการทำงานแบบดั้งเดิมของ LDP และได้พยายามดึงดูดความรู้สึกของสาธารณชนระดับรากหญ้าแทน

ก่อนการคว้าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 2001 โคอิซึมิล้มเหลวในการลงชิงตำแหน่งประธาน LDP ถึงสองครั้งในปี ค.ศ. 1995 และ ค.ศ. 1998 

ความพ่ายแพ้ซ้ำๆ เหล่านี้กลับมีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ทางการเมืองของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นในฐานะผู้ปฏิรูปที่ไม่ประนีประนอมและเป็นผู้ที่ถูกชนชั้นนำของพรรคกีดกันอย่างต่อเนื่อง 

การพ่ายแพ้เหล่านี้ทำให้เขาสามารถรวบรวมอัตลักษณ์ในฐานะนักปฏิรูปที่สม่ำเสมอและไม่ยอมจำนนต่อระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจอย่างมากต่อผู้ลงคะแนนเสียงที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงในปี ค.ศ. 2001

นอกจากวาทกรรมทางการเมืองแล้ว โคอิซึมิยังสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าถึงได้ด้วยการแสดงความสนใจในวัฒนธรรมสมัยนิยม เช่น การเป็นแฟนเพลงตัวยงของเอลวิส เพรสลีย์ 

การใช้เสน่ห์แบบประชานิยมนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการดึงดูดคะแนนเสียงจากสาธารณชนและเอาชนะผู้สมัครที่เน้นกลุ่มก้อนทางการเมือง (เช่น เรียวทาโร ฮาชิโมโตะ และ ชิซูกะ คาเมอิ) ในการเลือกตั้งประธาน LDP ปี ค.ศ. 2001

ยุคทองแห่งการปฏิรูป

ชัยชนะของโคอิซึมิในการเป็นประธาน LDP เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2001 ไม่ได้มาจากกลไกของกลุ่มก้อนแบบดั้งเดิม แต่มาจากฐานการสนับสนุนระดับรากหญ้าและผู้แทนระดับจังหวัด การได้รับอาณัติจากสาธารณชนโดยตรงนี้ทำให้เขามีอำนาจทางการเมืองที่เหนือกว่าการต่อต้านภายในพรรค

เมื่อได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 87 ในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 2001 โคอิซึมิได้ทำตามคำมั่นสัญญาโดยการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีบนพื้นฐานของความสามารถ (meritocracy) แทนที่จะใช้โควต้าตามการจัดสรรผลประโยชน์ของกลุ่มก้อน 

การนำบุคคลภายนอก นักการเมืองหญิง และนักการเมืองรุ่นใหม่ (เช่น ชินโซ อาเบะ) เข้ามาดำรงตำแหน่งที่สำคัญได้สร้างความเชื่อมั่นอย่างสูงต่อวาระการปฏิรูปในสายตาของสาธารณชน การใช้การแต่งตั้งตามความสามารถนี้มิใช่เพียงการแสดงออกถึงความโปร่งใส แต่ยังเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ในการรวมศูนย์อำนาจอย่างมีประสิทธิภาพด้วย 

เนื่องจากคณะรัฐมนตรีเหล่านี้มีความภักดีโดยตรงต่อโคอิซึมิ ในฐานะผู้แต่งตั้ง ทำให้เขาปกครองประเทศได้อย่างมั่นคงและสามารถผลักดันการปฏิรูปที่ไม่เป็นที่นิยมทางการเมืองได้โดยไม่ต้องกังวลถึงการประท้วงภายในพรรคที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นระบบ

โคอิซึมิสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้นานกว่าห้าปี (จนถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 2006) ทำให้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดเป็นอันดับหกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ความมั่นคงในอำนาจนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการผลักดันวาระการปฏิรูปที่ลึกซึ้ง

การปฏิรูปของโคอิซึมิครอบคลุมหลายด้าน โดยมีเป้าหมายหลักคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซา

  1. การจัดการวิกฤตการเงิน: เขาให้คำมั่นว่าจะ "ชำระหนี้เสีย" (paying off bad debts) และฟื้นฟูภาคการเงินและอุตสาหกรรม
  2. การควบคุมการคลัง: มีการประกาศการจำกัดเพดานการออกพันธบัตรรัฐบาลไว้ที่ 30 ล้านล้านเยน ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างเข้มงวดในการจัดการหนี้สาธารณะและการลดการพึ่งพาการใช้จ่ายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
  3. การปฏิรูปการบริหาร: นโยบายนี้เน้นหลักการที่ว่า "All That Can be Accomplished by the Private Sector Should be Left in its Hands, and All That Can be Delegated to Local Governments Should Be Delegated to Them" (ทุกสิ่งที่ภาคเอกชนสามารถทำได้ควรถูกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของภาคเอกชน และทุกสิ่งที่สามารถมอบหมายให้รัฐบาลท้องถิ่นก็ควรถูกมอบหมายให้รัฐบาลท้องถิ่น) 

ซึ่งเป็นการลดบทบาทของรัฐบาลกลางและส่งเสริมการแข่งขันและการกระจายอำนาจ

วาระการปฏิรูปของโคอิซึมิไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภาคการเงินและการบริหารเท่านั้น แต่ยังท้าทาย 'วัวศักดิ์สิทธิ์' ทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของ LDP นั่นคือภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นฐานเสียงแบบอนุรักษ์นิยมที่แข็งแกร่ง

นโยบายของเขาได้กำหนดเป้าหมายในการทบทวนนโยบายการสนับสนุนภาคเกษตรกรรมแบบครอบคลุม โดยมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่กรอบการทำงานใหม่ที่เน้นการให้การสนับสนุนของรัฐบาลกับ "highly motivated and capable farmers" (เกษตรกรที่มีแรงจูงใจและความสามารถสูง) เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการทบทวนระบบการผลิตและการจำหน่ายข้าวด้วย 

การรวมการปฏิรูปเกษตรกรรมเข้าในวาระของเขาบ่งชี้ว่าเป้าหมายของโคอิซึมิไม่ใช่แค่การทำความสะอาดทางการเงิน แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจากระบบอุปถัมภ์/การปกป้อง ไปสู่การแข่งขันตามความสามารถในทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง

VJC ปลุกต่างชาติเที่ยวญี่ปุ่น

ปฏิเสธไม่ได้ว่า โคอิซึมิ ทิ้งมรดกให้กับญี่ปุ่นมากมาย หนึ่งในมรดกสำคัญคือการสร้างจุดเปลี่ยนทางนโยบายการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเกิดขึ้นเมื่อนายกรัฐมนตรีโคอิซึมิได้กล่าวสุนทรสุนทรพจน์นโยบายในวันที่ 31 มกราคม 2003 โดยได้ประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนและมีแรงบันดาลใจ "จะเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชมจากต่างประเทศเป็นสองเท่าให้ถึง 10 ล้านคนภายในปี 2010" การประกาศนี้เป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของการให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวขาเข้าในระดับสูงสุด

เพื่อผลักดันเป้าหมายดังกล่าว "Visit Japan Campaign" (VJC) จึงถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2003 โดยใช้คำขวัญว่า 'Yokoso! Japan!' 

แคมเปญนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในเชิงประวัติศาสตร์ เนื่องจากการวิเคราะห์ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าในช่วงหลังสงคราม ญี่ปุ่นเคยเป็นประเทศในกลุ่ม G7 ที่มีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมน้อยที่สุด โดยมีนโยบายที่มักจะเน้นการท่องเที่ยวขาออกมากกว่าขาเข้า 

VJC จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ที่รัฐบาลได้ใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือเชิงรุกระดับชาติเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซา การวางเป้าหมายเชิงปริมาณที่สูงเช่นนี้เป็นการกำหนดทิศทางเชิงรุกสำหรับการเติบโตในอนาคตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น

นโยบาย VJC ประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 5.21 ล้านคนในปี 2003 เป็น 8.35 ล้านคนในปี 2007 และ 2008 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรวดเร็วและประสิทธิภาพของมาตรการเชิงรุกที่รัฐบาลดำเนินการ

ในขณะที่การเติบโตของนักท่องเที่ยวขาเข้าเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจมหภาค แต่การมุ่งเน้น "ปริมาณ" ได้ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในท้องถิ่น คือ "Overtourism"

Overtourism ถูกนิยามว่าเป็นการแออัดในจุดหมายปลายทางที่มากเกินไปจนทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นและผู้มาเยือน ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวเป็นเหมือนดาบสองคม

โดยทั่วไปแล้ว ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่มองว่าการเติบโตของการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นสำหรับการรักษาคุณภาพชีวิต 

แต่ทัศนคตินี้จะเปลี่ยนไปทันทีที่ชีวิตประจำวันของพวกเขาได้รับผลกระทบจากการเสื่อมถอยของบริการสาธารณะหรือความแออัดยัดเยียด หากไม่มีระบบการจัดการการท่องเที่ยวที่เหมาะสม ผลกระทบเชิงลบต่อชุมชนท้องถิ่นก็จะเกิดขึ้นตามมา

ในแง่มุมทางเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการได้ระบุปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นจากการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ นั่นคือ "ภาวะเศรษฐกิจเสียระดับภูมิภาค" 

นักท่องเที่ยวจำนวนมากใช้โครงสร้างพื้นฐาน สินค้า และบริการของท้องถิ่นมากเกินไป ซึ่งรวมถึงถนนหนทางและระบบสาธารณูปโภค แต่ไม่ได้เพิ่มฐานภาษีให้กับรัฐบาลท้องถิ่นในสัดส่วนที่เท่ากันเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น 

การใช้ทรัพยากรที่เกินความสามารถในการรองรับยังส่งผลกระทบต่อความยืดหยุ่นของระบบนิเวศในท้องถิ่นอีกด้วย การขาดสมดุลระหว่างการใช้จ่ายกับการชดเชยค่าโครงสร้างพื้นฐานนี้เป็นความท้าทายที่รัฐบาลท้องถิ่นทั่วประเทศญี่ปุ่นกำลังเผชิญ

เกียวโตเป็นเมืองตัวอย่างที่เห็นผลกระทบของ Overtourism อย่างชัดเจน โดยจำนวนผู้เข้าพักในเมืองนี้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 7.2 เท่า ระหว่างปี 2010 ถึง 2019

การศึกษาวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของ Overtourism ในเกียวโตได้ดำเนินการโดย Sachiyo Asahi จาก คณะมนุษยศาสตร์ กฎหมาย และเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิเอะ และ Eri Habu จากส่วนงานบริการให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางกฎหมาย, วิทยาลัยสหวิทยาการระดับโลก จากมหาวิทยาลัยชิซึโอกะ

ผลการสำรวจพลเมืองเกียวโตชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ผกผันระหว่างการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวกับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ผู้อยู่อาศัยแสดงความเห็นในเชิงลบมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรู้สึกว่าเกียวโต 'เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ใช้ชีวิตง่ายสำหรับพลเมืองน้อยลง'

เนื่องจากปัญหาความแออัด 14 ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ผกผันระหว่างจำนวนนักท่องเที่ยวกับความสะดวกในการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในเกียวโต 14

นอกจากชาวเมืองแล้ว ตัวนักท่องเที่ยวเองก็แสดงความผิดหวังในการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติมักมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหา การขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟและรถประจำทาง 14 ในขณะที่นักท่องเที่ยวในประเทศบ่นเรื่อง ความแออัดและปัญหาด้านมารยาท 14

จากการวิเคราะห์ดังกล่าว Asahi และ Habu ได้สรุปคำแนะนำเชิงนโยบาย โดยระบุว่าเมืองเกียวโตจำเป็นต้องพิจารณามาตรการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยว 14 หนึ่งในมาตรการที่ถูกพิจารณาคือ การจัดตั้งภาษีการท่องเที่ยว

เพื่อนำรายได้มาจัดการกับผลกระทบเชิงลบและชดเชยการใช้โครงสร้างพื้นฐานนอกจากนี้ มีการแนะนำให้มีการจัดการจุดหมายปลายทาง โดยพยายามกระจายผู้เยี่ยมชมตามช่วงเวลาและสถานที่ รวมถึงการใช้ข้อมูลเรียลไทม์เพื่อแนะนำจุดท่องเที่ยวทางเลือกแทนจุดยอดนิยมที่มีผู้คนหนาแน่น เพื่อบรรเทาความแออัด

ความตึงเครียดในภูมิภาคและการเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ

ในขณะที่วาระการปฏิรูปเศรษฐกิจของโคอิซึมิมีลักษณะเสรีนิยม การแสดงออกในด้านการต่างประเทศกลับมีแนวโน้มอนุรักษ์นิยมและชาตินิยมมากขึ้น การเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิของโคอิซึมิหลายครั้ง ได้สร้างความตึงเครียดทางการทูตอย่างรุนแรงกับจีนและเกาหลีใต้

การใช้ความแข็งกร้าวในนโยบายต่างประเทศ (เช่น การเยือนยาสุกุนิ) และนโยบายความมั่นคง (เช่น การส่ง SDF ไปอิรัก) ถูกมองว่าเป็นความพยายามในการสร้างความสมดุลเพื่อชดเชยลักษณะของการปฏิรูปเศรษฐกิจภายในที่รุนแรงและทำลายสถานะเดิม 

การกระทำเหล่านี้มีความจำเป็นทางการเมืองเพื่อพิสูจน์ให้ฐานเสียงอนุรักษ์นิยมของ LDP เห็นว่า แม้เขาจะโจมตีผลประโยชน์ทางการเงินของพวกเขาผ่านการแปรรูปไปรษณีย์ แต่โดยพื้นฐานแล้วเขายังคงเป็นชาตินิยมที่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นการบริหารจัดการความแตกแยกทางอุดมการณ์ภายในพรรคอย่างชาญฉลาดเพื่อให้วาระการปฏิรูปเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้

การเกษียณจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและการส่งต่ออำนาจ

โคอิซึมิสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 เนื่องจากติดข้อจำกัดด้านวาระการเป็นประธานพรรค LDP เขาได้รับการสืบทอดตำแหน่งโดย ชินโซ อาเบะ ซึ่งเป็นผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีของโคอิซึมิ โคอิซึมิได้เกษียณจากสภาผู้แทนราษฎรในปี ค.ศ. 2009

แม้จะรักษาระดับความสนใจในที่สาธารณะไว้ในระดับต่ำในช่วงหลายปีแรกหลังเกษียณ แต่หลังจากภัยพิบัติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะในปี ค.ศ. 2011 โคอิซึมิได้กลับมาสู่ความสนใจของชาติอีกครั้งในปี ค.ศ. 2013 ในฐานะผู้เรียกร้องให้ยกเลิกพลังงานนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น โดย advocating for "zero nuclear power plants"

จุดยืนใหม่นี้ขัดแย้งกับทัศนะที่สนับสนุนนิวเคลียร์ของรัฐบาล LDP ทั้งในระหว่างและหลังสมัยของเขา การเลือกที่จะยืนหยัดต่อต้านนโยบายหลักของพรรคที่ตนเองเคยนำ แสดงให้เห็นถึงความสม่ำเสมอในบุคลิกที่ชอบ "ท้าทายฉันทามติทางการเมือง" 

หลังจากที่ภารกิจทางเศรษฐกิจของเขาเสร็จสิ้น (การแปรรูปไปรษณีย์) เขาก็ได้นำไฟแห่งการปฏิรูปเชิงประชานิยมที่เคยก่อขึ้นไปใช้ในภารกิจทางอุดมการณ์ครั้งใหม่ การกระทำนี้เป็นการยืนยันว่าปรัชญา "การปฏิรูปโครงสร้างโดยไม่มีวัวศักดิ์สิทธิ์" ของเขาได้ถูกนำมาใช้กับอุดมการณ์ด้วยเช่นกัน ซึ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของเขาในฐานะนักการเมืองผู้ทำลายรูปแบบ

มรดกทางการเมืองของโคอิซึมิยังคงอยู่ผ่านบุตรชายของเขา ชินจิโร โคอิซึมิ ซึ่งได้รับเลือกให้สืบทอดที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรต่อจากบิดาในปี ค.ศ. 2009 

ชินจิโรได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีที่สำคัญในพรรค LDP ยุคใหม่ โดยเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม (2019–2021) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง (พฤษภาคม 2025) ความต่อเนื่องของอิทธิพลนี้แสดงให้เห็นว่าตระกูลโคอิซึมิยังคงเป็นกำลังสำคัญในโครงสร้างอำนาจของ LDP ที่ผ่านการปรับปรุงให้ทันสมัยแล้ว

การบริหารประเทศของจูนิชิโร โคอิซึมิก่อให้เกิดผลกระทบเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืน การปฏิรูปไปรษณีย์ญี่ปุ่นถูกสถาปนาขึ้นอย่างมั่นคงในปี ค.ศ. 2007 และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุดในรอบหลายทศวรรษในญี่ปุ่น ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวกับประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงกลไกทางการเมืองภายในของ LDP ด้วย

โคอิซึมิได้เปลี่ยนวิธีการหาเสียงของ LDP โดยทำให้พรรคสามารถพึ่งพาความนิยมส่วนตัวและวาระการปฏิรูปที่ชัดเจนได้มากขึ้น แทนที่จะพึ่งพาระบบอุปถัมภ์ทางการเงินแบบเก่า

โคอิซึมิเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จในการรวมอำนาจและผลักดันนโยบายที่สร้างความขัดแย้งอย่างรุนแรง โดยใช้ฐานความนิยมจากสาธารณชนเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมืองในช่วงที่จำเป็นต้องมีการตัดสินใจที่ยากลำบาก การที่เขาประสบความสำเร็จในการตัดหลอดเลือดทางการเงินของพรรค (ผ่านการแปรรูปไปรษณีย์) และสร้างรูปแบบคณะรัฐมนตรีที่เน้นความสามารถ ทำให้เขาได้สร้างสภาวะที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของผู้นำ LDP ในรุ่นต่อไป

อ้างอิง

JAP / JAP1 / Clair / Tokyo / Jimin / Fact / Eik / Scribd / Rieb / Mig / RG / Chukyo / EY / Britannica / Japan / Csis / Mofa /

related