svasdssvasds

ยักษ์ใหญ่เทคฯ ตั้งกลุ่ม ศึกษา ผลกระทบจาก AI ที่มีผลต่อ งานด้านเทคโนโลยี

ยักษ์ใหญ่เทคฯ ตั้งกลุ่ม ศึกษา ผลกระทบจาก AI ที่มีผลต่อ งานด้านเทคโนโลยี

บริษัทยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยี อาทิ สร้างโอกาสในการร่วมมือกัน ด้วยการจับมือวางแผน ศึกษารูปแบบการทำงาน ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ AI กำลังจะมีอิทธิพลและบทบาทมากยิ่งขึ้น

SHORT CUT

  • Microsoft, Google, IBM, Cisco, Accenture, ผู้ผลิตชิป Intel, บริษัทซอฟต์แวร์ธุรกิจ SAP สหพันธ์แรงงาน-สภาคองเกรสแห่งองค์กรอุตสาหกรรมแห่งอเมริกา (AFL-CIO) และสหภาพแรงงานด้านการสื่อสารแห่งอเมริกา (CWA) จะตั้งกลุ่มขึ้นมา 
  • โดยการตั้งกลุ่ม ก็เพื่อสร้างโอกาสในการร่วมมือกัน ด้วยการจับมือวางแผน ศึกษารูปแบบการทำงาน ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ AI กำลังจะมีอิทธิพลและบทบาทมากยิ่งขึ้น
  • นี่เป็นการสะท้อนว่า  โลกกำลังจะมี แนวทางที่จะช่วยให้โลกของเรามีเทคโนโลยีใหม่ที่ก้าวหน้าไปไกล และรวดเร็ว และมนุษย์เราจะปรับตัวกับ AI ได้ในอนาคต

บริษัทยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยี อาทิ สร้างโอกาสในการร่วมมือกัน ด้วยการจับมือวางแผน ศึกษารูปแบบการทำงาน ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ AI กำลังจะมีอิทธิพลและบทบาทมากยิ่งขึ้น

บริษัทยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยี กำลังจะสร้างโอกาสในการร่วมมือกัน ด้วยการจับมือวางแผน ศึกษารูปแบบการทำงาน ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ AI กำลังจะมีอิทธิพลและบทบาทมากยิ่งขึ้น  

สำหรับ บริษัทยักษ์ใหญ่ ที่จะให้ความร่วมมือเป็นพันธมิตรกันครั้งนี้ และเป็นตัวตั้งตัวตีในการตั้งกลุ่ม จะมี อาทิ Microsoft, Google, IBM, Cisco, Accenture, ผู้ผลิตชิป Intel, บริษัทซอฟต์แวร์ธุรกิจ SAP สหพันธ์แรงงาน-สภาคองเกรสแห่งองค์กรอุตสาหกรรมแห่งอเมริกา (AFL-CIO) และสหภาพแรงงานด้านการสื่อสารแห่งอเมริกา (CWA) เป็นต้น 

ในโลกแห่งปี 2024 , แน่นอนว่า มีคำถามขึ้นมาในใจหลายๆคนว่า AI ที่กำลังเติบโตเป็นอย่างมาก และฉลาดเป็นกรดมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น , และ AI มีโอกาสจะเข้ามาแย่งงานคนจึงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม หรือไม่  และล่าสุดตอนนี้ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ก็ยังคงถกเถียงกันว่า จะออกกฎหมายเทคโนโลยีเพื่อเข้ามาใช้ควบคุมเรื่องนี้อย่างไรต่อไป

ปฏิเสธความจริงข้อหนึ่งไม่ได้เลยว่า  AI กำลังสร้างแรงกระเพื่อมให้กับแวดวงเทคโนโลยี ไอที และโลกออนไลน์ และ  มันกำลังจะขยายวงไปในวงการอื่นๆอีก โดยช่วงปี 2023 มีการศึกษาจาก Pew Research Center ออกมาว่า คนอเมริกันมีความเสี่ยงตกงานสูงถึง 20% เช่น นักเขียนคอนเทนต์โฆษณา, นักพัฒนาเว็บไซต์, ผู้จัดเตรียมภาษี เป็นต้น  เพราะลักษณะงานเหล่านี้ AI สามารถ "ช่วยงาน" ได้เยอะ และเมื่อ AI ทำงานได้ นายจ้างก็ย่อมที่จะพยายามลดต้นทุนต่างๆ 

ยักษ์ใหญ่เทคฯ ตั้งกลุ่ม ศึกษาเรื่อง ผลกระทบจาก AI ที่มีผลต่อ งานด้านเทคโนโลยี

 

และนอกจากการจับมือกันเพื่อการศึกษา การทำงานของ AI แล้ว , ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ก็ยังมีความร่วมมือกัน ในหาการจุดลงตัว เรื่องความปลอดภัย ซึ่งความร่วมมือนี้ เกิดขึ้นกลางปี 2023 , แอมะซอน (Amazon), แอนโธรพิก (Anthropic), กูเกิล (Google), อินเฟล็กชัน (Inflection), เมตา (Meta), ไมโครซอฟต์ (Microsoft) และโอเพนเอไอ (OpenAI) จับมือกัน เข้าไปคุยกับทางภาครัฐ  ในประเด็นการความคุมความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายในประเทศสหรัฐฯ 

โดย ทุกบริษัท มีเป้าประสงค์ หลักๆ ในแง่มุมด้านความปลอดภัยของ AI คือ 1. ทดสอบความปลอดภัยของระบบ AI โดยผู้เชี่ยวชาญทั้งจากภายในและภายนอกก่อนที่จะเผยแพร่ 2. ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการแปะป้ายกำกับเนื้อหาที่ผลิตโดย AI เพื่อให้ผู้คนทราบ อาทิ การใช้ลายน้ำ (watermarks)  3. รายงานความสามารถและข้อจำกัดของ AI ต่อสาธารณะเป็นประจำ  4. วิจัยความเสี่ยงต่าง ๆ ของ AI เช่น อคติ การเลือกปฏิบัติ และการบุกรุกความเป็นส่วนตัว

สิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงเวลา 1-2 ปีนี้ ในประเด็น การจับมือร่วมกัน เพื่อศึกษา ดูแล ควบคุม AI นั่นสะท้อนให้เห็นว่า  โลกกำลังจะมี แนวทางที่จะช่วยให้โลกของเรามีเทคโนโลยีใหม่ที่ก้าวหน้าไปไกล และรวดเร็ว แต่ยังคงอยู่ภายใต้กรอบความโปร่งใส ปลอดภัย และมีความรับผิดชอบ นั่นเอง

ที่มา :washingtonpost

related