svasdssvasds

เต๋า เซน ชินโต พุทธศาสนา ความเชื่อที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ !

เต๋า เซน ชินโต พุทธศาสนา ความเชื่อที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ !

เซน, เต๋า, ชินโต และพุทธ: ชีวิตเรียบง่าย การเคารพธรรมชาติ และการดูแลสิ่งแวดล้อม สอนว่ามนุษย์ไม่เคยแยกจากธรรมชาติ !

SHORT CUT

  • ความเรียบง่ายและการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ: ปรัชญาและศาสนาในเอเชียตะวันออก เช่น เต๋า เซน ชินโต และพุทธศาสนา เน้นการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สอดคล้อง และเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ให้ความสำคัญกับการตระหนักรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
  • ความเคารพต่อธรรมชาติ: แนวคิดเหล่านี้สอนให้เคารพธรรมชาติ โดยมองว่าธรรมชาติมีความศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงอยู่ร่วมกันของทุกสรรพสิ่ง  และเน้นการไม่เบียดเบียนหรือทำลายธรรมชาติ
  • การดำเนินชีวิตอย่างมีสติและยั่งยืน: ปรัชญาเหล่านี้สนับสนุนการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ลดการบริโภคที่ไม่จำเป็น และส่งเสริมการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน เพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติ

เซน, เต๋า, ชินโต และพุทธ: ชีวิตเรียบง่าย การเคารพธรรมชาติ และการดูแลสิ่งแวดล้อม สอนว่ามนุษย์ไม่เคยแยกจากธรรมชาติ !

เนื่องในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน 2568 (World Environment Day 2025) วันที่ทั่วโลกตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ SPRiNG ขอชวนคุณย้อนกลับไปสำรวจอีกหนึ่งมุมมองสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม นั่นคือ ความเชื่อและศาสนา ที่สอนให้มนุษย์เคารพธรรมชาติ

ปรัชญาและศาสนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกหลายแขนงมีแนวคิดที่สอดคล้องกันในการส่งเสริมการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและกลมกลืนกับธรรมชาติ ทั้ง เซน (พุทธแบบเซน), ลัทธิเต๋า, ศาสนาชินโต, และ พุทธศาสนา ต่างก็มีคำสอนที่เน้นความสมถะพอประมาณ การเคารพต่อธรรมชาติรอบตัว และการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

“เซน ความเรียบง่ายและความกลมกลืนกับธรรมชาติ”

เต๋า เซน ชินโต พุทธศาสนา ความเชื่อที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ !

เป็นสำนักหนึ่งของพุทธศาสนาที่ให้คุณค่ากับการมีชีวิตที่เรียบง่ายและการตื่นรู้ในปัจจุบันขณะ เซนสอนให้ปล่อยวางความฟุ้งซ่านซับซ้อนและเข้าถึงสัจธรรมอย่างตรงไปตรงมา “ที่นี่และเดี๋ยวนี้” หลักปฏิบัติเซนให้ความสำคัญกับการทำสมาธิ (นั่ง ซาเซน) และการมีสติรู้ตัว ซึ่งนำไปสู่ปัญญาเห็นตามความเป็นจริงว่าเรากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่แยกจากกัน เซนถือว่าปัญญาและความกรุณาสามารถแสดงออกผ่านการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับตัวเอง ผู้อื่น และธรรมชาติ อย่างไม่แบ่งแยกได้ ดังนั้นผู้ปฏิบัติเซนมองว่าธรรมชาติก็เป็นส่วนหนึ่งของหนทางแห่งการตรัสรู้เช่นเดียวกับชีวิตประจำวันของเราทุกคน

วิถีเซนปลูกฝังความมักน้อยและสันโดษ ไม่บริโภคเกินจำเป็น วัดและสำนักปฏิบัติเซนมักมีลักษณะเรียบง่ายใกล้ชิดธรรมชาติ เช่น สวนหินแบบเซนหรือห้องปฏิบัติที่ตกแต่งอย่างสงบน้อยสิ่ง สอดคล้องกับคำสอนที่ว่า ความสุขที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องพึ่งวัตถุภายนอกมากมาย

ติช นัท ฮันห์ (Thich Nhat Hanh) พระอาจารย์เซนชื่อดังชาวเวียดนามได้กล่าวย้ำว่าโลกอันงดงามใบนี้มีสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตเพียงพออยู่แล้วสำหรับความสุขของเรา แนวทางแห่งความเรียบง่าย แบบเซนจึงหมายถึงการมีสติอยู่กับปัจจุบันและค้นพบว่ามนุษย์เราไม่จำเป็นต้องครอบครองรถคันที่สอง บ้านหลังใหญ่ขึ้น หรือท่องเที่ยวฟุ่มเฟือยเพื่อที่จะมีความสุขเลย การเปลี่ยนมุมมองเช่นนี้จะช่วยให้เราเลิกติดอยู่ในวงจรบริโภคนิยมที่ไม่รู้จบ และหันมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายซึ่งเอื้อให้เกิดความยั่งยืนแก่โลกใบนี้มากกว่า

นิกายโซโตเซนแห่งญี่ปุ่นเองได้เสนอ “5 หลักชีวิตสีเขียว” เพื่อชี้แนะแนวทางให้พุทธศาสนิกชนดูแลโลก เช่น ไม่ใช้ทรัพยากรน้ำและพลังงานอย่างสิ้นเปลือง, รักษาป่าไม้และอากาศบริสุทธิ์, รวมถึงหลักการให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติเพราะธรรมชาติคือการสำแดงออกของความเป็นพุทธะ

 หลักคำสอนของปรมาจารย์เซนยุคโบราณอย่างโดเง็นและเคซันก็กล่าวไว้เช่นกันว่า “ขุนเขา สายน้ำ และสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า” พร้อมทั้งเตือนมิให้ตัดฟันหรือทำลายต้นไม้โดยไม่จำเป็น ผู้ปฏิบัติธรรมควรใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็นเท่านั้นเพื่ออยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเคารพและปกป้อง

ลัทธิเต๋า อยู่ในวิถีแห่งความสมถะ

เต๋า เซน ชินโต พุทธศาสนา ความเชื่อที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ !

ลัทธิเต๋า (หรือ เต้า) เป็นปรัชญา-ศาสนาจีนโบราณที่สอนให้มนุษย์ดำรงชีวิตสอดคล้องกับ “เต๋า” หรือหนทางแห่งธรรมชาติ โดยเน้นคุณธรรมของการกระทำที่สอดคล้องกับธรรมชาติอย่างแท้จริง เต๋ายกย่องหลักการอย่าง อู๋เหวย (無為, ไม่ฝืนกระทำหรือฝืนธรรมชาติ), ความเป็นธรรมชาติ (自然, จื้อหยัน) และความเรียบง่ายสมถะเป็นแก่นของชีวิตที่ดีงาม

คัมภีร์เต๋าเต๋อจิงและจวงจื๊อมักสอดแทรกข้อคิดผ่านธรรมชาติ เช่น เปรียบเทียบให้มนุษย์เป็นดั่งน้ำที่ไหลไปตามที่ต่ำโดยไม่ฝืนความเป็นไปของสรรพสิ่ง ความคิดแบบเต๋าถือว่ามนุษย์ควรดำเนินชีวิตตามครรลองของธรรมชาติ ไม่พยายามบังคับควบคุมหรือเอาชนะธรรมชาติแนวฝืนลู่ทาง ยึดหลักว่า**“ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามทางของมัน”**  กล่าวคือ มนุษย์ควรช่วยประคับประคองทุกสรรพสิ่งให้เติบโตไปตามวิถีของมันเอง มากกว่าจะพยายามดัดแปลงควบคุมทุกอย่างตามใจตน

ลัทธิเต๋ามองว่าผู้ที่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติเยี่ยงลึกซึ้งนั้น จะปฏิบัติต่อธรรมชาติด้วยความระมัดระวังและเรียนรู้จากธรรมชาติ ขณะที่ผู้มีความเข้าใจเพียงผิวเผินมักกลับใช้ธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือยและขูดรีดเกินพอดี ซึ่งท้ายที่สุดย่อมนำไปสู่หายนะและภัยพิบัติทั้งต่อธรรมชาติและมนุษยชาติเองinterfaithsustain.com หลักธรรมเต๋าจึงส่งเสริมการรู้จักยับยั้งชั่งใจและ ความพอดี ในการแสวงหาความเจริญทางวัตถุ หากสิ่งใดฝืนสมดุลธรรมชาติแม้จะให้ประโยชน์หรือกำไรมหาศาลในระยะสั้น เต๋ากล่าวว่ามนุษย์ควรยั้งมือมิให้ทำ เพราะสุดท้ายธรรมชาติจะลงโทษตอบสนองความไม่สมดุลนั้น

น่าสังเกตว่ามีแนวคิดในลัทธิเต๋าที่วัด “ความรุ่งเรือง” ของสังคมด้วยความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตต่างๆ ในธรรมชาติ หากพืชสัตว์นานาชนิดดำรงอยู่ได้ดี ก็แปลว่าสังคมนั้นเจริญสุข ถ้าหากสิ่งมีชีวิตเสื่อมโทรมลงก็ชี้ว่าสังคมนั้นกำลังเสื่อมถอย เต๋าจึงกระตุ้นทั้งผู้นำและสามัญชนให้ตระหนักถึงการดูแลรักษาธรรมชาติแวดล้อมเป็นสำคัญinterfaithsustain.com จะเห็นได้ว่าค่านิยมของลัทธิเต๋าผูกโยงความผาสุกของมนุษย์เข้ากับความผาสุกของระบบนิเวศอย่างแนบแน่น ชีวิตที่สมดุลกลมกลืนกับธรรมชาติและปราศจากความโลภเกินขอบเขตคือชีวิตที่เป็นไปตาม “วิถีแห่งเต๋า” นั่นเอง

ชินโต การอยู่ร่วมอย่างเคารพ

เต๋า เซน ชินโต พุทธศาสนา ความเชื่อที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ !

ชินโต เป็นศาสนาดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีลักษณะความเชื่อแบบเคารพบูชาธรรมชาติ (naturalistic and animistic belief) ชินโตมองว่าธรรมชาติทุกส่วนล้วนมีจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ ซึ่งเรียกว่า คามิ (神, เทพเจ้าหรือวิญญาณประจำธรรมชาติ) ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ป่าไม้ หรือแม้แต่ฤดูกาลก็ล้วนมีคามิสิงสถิตอยู่ทั้งสิ้นdifferent-level.com ดังนั้นธรรมชาติจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตัวมันเอง โลกธรรมชาติไม่ได้เป็นเพียงวัตถุสิ่งของที่มนุษย์จะใช้สอยได้ตามใจ แต่เป็นที่สิงสถิตของเทพและวิญญาณที่ควรค่าแก่การเคารพยำเกรง

ผู้ที่นับถือชินโตจึงแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะผ่านการสวดขอบคุณ การบวงสรวง หรือเทศกาลฤดูกาลต่างๆ ที่จัดขึ้นเพื่อขอบคุณพรจากธรรมชาติที่ได้รับตลอดปี ตัวอย่างเช่น เทศกาลในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่นมักเกี่ยวข้องกับการขอพรให้พืชผลอุดมสมบูรณ์และการขอบคุณต่อเทพผู้คุ้มครองการเก็บเกี่ยว สะท้อนถึงสายสัมพันธ์ที่คนญี่ปุ่นมีต่อธรรมชาติตามคติชินโตโดยตรง 

หลักความเชื่อสำคัญของชินโตคือการดำรงชีวิตให้ กลมกลืนกับคามิและโลกธรรมชาติ ซึ่งหมายถึงการเคารพธรรมชาติประหนึ่งครอบครัวเดียวกัน และรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องทั้งของร่างกาย จิตใจ และสิ่งแวดล้อมรอบตัว ชินโตเน้นความคิดว่าชีวิตทุกชีวิตและทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนศักดิ์สิทธิ์และมีคุณค่าของมันเอง การกระทำการใดที่จะไปรบกวนหรือทำลายความสมดุลศักดิ์สิทธิ์นี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง

คติของชินโตกล่าวไว้ชัดเจนว่า สิ่งใดก็ตามที่จะรบกวนคามิหรือละเมิดความสงบร่มเย็นของโลกนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งรวมไปถึงการกระทำที่ ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม การทำลายธรรมชาติ หรือการละเมิดหลักศีลธรรมต่างๆ กล่าวคือ การสร้างมลพิษหรือทำลายสิ่งแวดล้อมถือเป็นการลบหลู่เทพยาดาและวิญญาณแห่งธรรมชาติ ตามหลักชินโต การดูแลธรรมชาติให้สะอาดบริสุทธิ์และสมดุลจึงเท่ากับเป็นการถวายความเคารพต่อคามิ และเป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ที่จะต้องปกปักษ์รักษาธรรมชาติร่วมกับเทพเจ้าทั้งหลาย

พุทธศาสนา เมตตาและความพอประมาณ 

เต๋า เซน ชินโต พุทธศาสนา ความเชื่อที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ !

พุทธศาสนา (ทั้งสายเถรวาทและมหายาน) มีคำสอนหลายประการที่ส่งเสริมชีวิตที่เรียบง่ายและความเคารพต่อธรรมชาติอย่างชัดเจน

ประการแรก พุทธศาสนาย้ำถึงการมี เมตตากรุณา ต่อสรรพชีวิตอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักความเมตตาและความไม่เบียดเบียน (อหิงสา) เป็นพื้นฐานของศีลธรรม ทำให้ชาวพุทธถือคติไม่ฆ่าสัตว์และพยายามไม่ทำอันตรายต่อชีวิตทั้งมวล คำสอนและคัมภีร์ทางพุทธศาสนาสนับสนุนให้เกิดความกรุณาอันเป็นสากล (universal compassion) คือปรารถนาให้สรรพสัตว์พ้นทุกข์โดยถ้วนหน้า โดยไม่มีการแบ่งแยกระหว่างมนุษย์และสัตว์อื่นๆ เลย คำกล่าวที่ว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ก็แสดงให้เห็นว่าพุทธศาสนามองสัตว์ทั้งหลายอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมเช่นเดียวกับมนุษย์ เกิดแก่เจ็บตายภพชาติไม่ต่างจากเรา ในทัศนะของพุทธศาสนา จึงไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างมนุษย์กับสัตว์หรือธรรมชาติ เพราะทุกชีวิตล้วนสัมพันธ์โยงใยและเวียนว่ายอยู่ร่วมกันมาตลอด

ประการที่สอง พุทธปรัชญายังเน้นเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท หรือหลักการที่ว่า สรรพสิ่งอาศัยซึ่งกันและกัน  ทุกชีวิตและทุกปรากฏการณ์ในโลกเกิดขึ้นได้เพราะมีเงื่อนไขเกื้อหนุนต่อกันเป็นลูกโซ่ ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่โดดๆ โดยไม่พึ่งพาสิ่งอื่น ในเชิงสิ่งแวดล้อม หลักธรรมนี้ชี้ว่า มนุษย์กับธรรมชาติล้วนพึ่งพาอาศัยกันอย่างใกล้ชิด แยกจากกันไม่ได้ สิ่งมีชีวิต (ผู้อยู่อาศัย) และสิ่งแวดล้อม (ที่อยู่อาศัย) ล้วนประกอบขึ้นจากธาตุทั้งสี่และดำรงอยู่บนโลกเดียวกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงความเชื่อมโยงได้

องค์ทะไลลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณในพุทธมหายาน ทรงตั้งข้อสังเกตว่ามนุษย์โดยพื้นฐานมีธรรมชาติที่โอนอ่อนและเมตตา (เรามิใช่สัตว์นักล่าที่ดุร้ายโดยสัญชาตญาณ) ฉะนั้น ท่าทีต่อสิ่งแวดล้อมของเราก็ควรจะอ่อนโยนและเมตตาเช่นเดียวกันกับที่เราปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ การแสดงออกซึ่งความกรุณาต่อธรรมชาติถือเป็นหน้าที่ทางศีลธรรมอย่างหนึ่งของชาวพุทธในยุคปัจจุบัน เราจึงเห็นได้ว่าพระสายปฏิบัติหลายท่านส่งเสริมกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ เช่น การปลูกป่า การปล่อยสัตว์คืนสู่ธรรมชาติ ตลอดจนเข้าร่วมเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ เพื่อบรรเทาความทุกข์ร้อนให้สรรพชีวิตและโลกโดยรวม

มนุษย์คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ 

จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเซน เต๋า ชินโต หรือพุทธศาสนา ต่างก็มีรากปรัชญาที่มองมนุษย์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอย่างแยกไม่ออก ความเชื่อเรื่องการขจัดการแบ่งแยก (dualism) ระหว่าง “ตัวตน” กับ “โลก” ปรากฏชัดทั้งในเซนและคติพุทธ ที่ชี้ว่าเราและธรรมชาติล้วนเป็นองค์รวมเดียวกัน

ในทัศนะของ ติช นัท ฮันห์ "มนุษย์คือสัตว์หนึ่งชนิด" คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่เรากลับแยกตัวเองออกและทำเสมือนว่าธรรมชาติอยู่ภายนอก เป็นคนละอย่างกับเรา ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ว่าจะความเชื่อแบบไหน หรือศาสนาอะไร เราควรปฏิบัติต่อธรรมชาติไม่ต่างจากที่ปฏิบัติต่อตัวเราเอง

ที่มา Stanford, Sotozen, interfaithsustain

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

 

related