
เอเลียด คิปโชเก้ ไม่ได้เป็นเพียงตำนานเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัย หรือมนุษย์คนแรกที่ทำลายกำแพง 2 ชั่วโมงลงได้เท่านั้น แต่จากการเยือนประเทศไทยล่าสุดและบทสนทนาที่ผ่านๆ มา ได้นำความเงียบสงบและปรัชญาชีวิตมาแบ่งปันจากการเยือนประเทศไทย สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าสถิติโลกของเขา คือความถ่อมตนและพลังแห่งสมาธิ
“มาราธอนคือชีวิต” — เมื่อปราชญ์แห่งการวิ่ง เอเลียด คิปโชเก แชร์ให้เราฟังเสียงของตัวเอง
ในโลกที่หมุนเร็วยุคดิจิทัล ที่มีอะไรๆ เข้ามารบกวนชีวิตเราเต็มไปหมด ความสงบเป็นสิ่งที่หายาก ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่วิ่งเร็วที่สุดในระยะมาราธอน 42.195 km. กลับเลือกที่จะโอบกอดความเงียบสงบ เอเลียด คิปโชเก้ (Eliud Kipchoge) ไม่ได้เป็นเพียงตำนานเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัย หรือมนุษย์คนแรกที่ทำลายกำแพง 2 ชั่วโมงลงได้เท่านั้น แต่จากการเยือนประเทศไทยล่าสุดและบทสนทนาที่ผ่านๆ มา
สิ่งที่ฉายชัดออกมาจากตัวเขายิ่งกว่าสถิติโลก คือปรัชญาการใช้ชีวิต ความถ่อมตน และพลังแห่งสมาธิ ที่เขาแบ่งปันให้กับทุกคน ได้เห็นถึงประโยชน์ของการวิ่ง
จากการพบปะกับนักวิ่งชาวไทยและกิจกรรมร่วมกับแฟนๆชาวไทยใน คิปโชเกได้สะท้อนมุมมองที่ทำให้เราเห็นว่า การวิ่งไม่ใช่แค่เรื่องของฝีเท้า แต่คือเรื่องของ "จิตวิญญาณ" - ความสงบของจิตใจ
สำหรับหลายคน การวิ่งคือความเหนื่อยล้า แต่สำหรับคิปโชเก การวิ่งคือช่วงเวลาศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเรียกว่า "อิสรภาพ" คิปโชเกในอดดีต ย้ำเสมอถึงประโยชน์ทางจิตใจที่ได้จากการวิ่งระยะไกล เขามองว่ามาราธอนเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์ได้กลับมาอยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง
“มาราธอนคือชีวิต เป็นที่ๆ คุณได้วิ่งและคุยกับตัวเองคนเดียว คุณได้เป็นตัวของตัวเอง ได้ถามคำถามตัวเอง และได้ให้คำตอบกับตัวเอง” คิปโชเกกล่าว
ในโลกที่วุ่นวาย การปลีกตัวออกไปวิ่งคือการสร้างสมาธิชั้นเยี่ยม เมื่อเท้าสัมผัสพื้นและลมหายใจเป็นจังหวะ มันคือช่วงเวลาที่คุณจะได้อยู่ลำพังกับความคิดของตัวเอง ตกผลึกปัญหา และค้นหาทางออกด้วยตนเอง คิปโชเกเปรียบเทียบว่า ช่วงเวลาเหล่านั้นทำให้จิตใจของเขา "ใสและนิ่ง" จนสามารถรับมือกับแรงกดดันมหาศาลระดับโลกได้
ประโยชน์ที่มากกว่าร่างกาย: ประชาธิปไตยบนรองเท้าวิ่ง
นอกจากเรื่องสมาธิ คิปโชเกยังมองเห็นประโยชน์ของการวิ่งในมิติทางสังคม เขาเรียกการวิ่งว่าเป็น "พื้นที่ประชาธิปไตย" (Democratic space)
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร วิศวกร ครู ทนายความ หรือซีอีโอ เมื่อสวมรองเท้าแล้วลงสู่ท้องถนน ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนใช้อากาศหายใจเดียวกัน และต้องก้าวผ่านความเจ็บปวดเหมือนๆ กัน การวิ่งจึงเป็นกิจกรรมที่สร้าง "ชุมชน" (Community) ที่แข็งแกร่ง
เขาแนะนำเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับนักวิ่งทั่วไปที่ต้องการซึมซับประโยชน์เหล่านี้ให้เต็มที่ คือการรู้จักสมดุล หรือ Recovery ชีวิตก็เหมือนการวิ่ง มีวันที่หนักและวันที่เบา เขาเน้นย้ำเรื่องการฟื้นฟูร่างกายแบบเรียบง่ายแต่ต่อเนื่อง เช่น การวิ่งช้าๆ (Easy run) การนวด หรือการแช่น้ำแข็ง เพราะการรู้จักผ่อนคลายคือส่วนหนึ่งของวินัยที่จะทำให้เราไปต่อได้ในระยะยาว
สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดในการสนทนากับคิปโชเก ไม่ใช่เรื่องราวชัยชนะ แต่คือความ "ถ่อมตัว" ที่หาได้ยากยิ่งในซูเปอร์สตาร์ระดับโลก
แม้จะเคยเป็นเจ้าของสถิติโลก แต่เขายืนยันว่า “ผลงานไม่ใช่ตัวตน ความเป็นมนุษย์ต่างหากที่สำคัญกว่า” เขายังคงมองว่าตนเองเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ตื่นมาทำในสิ่งที่รัก โดยไม่ได้หลงระเริงไปกับชื่อเสียง
คิปโชเก้ แสดงออกถึงความเคารพอย่างสูงต่อเพื่อนร่วมทางบนท้องถนน เขากล่าวประโยคหนึ่งที่จับใจและสะท้อนตัวตนของเขาได้อย่างลึกซึ้งที่สุด:
“ผมเคารพคนที่วิ่งตามหลังผมเสมอ—นักวิ่งทั่วไปที่ใส่รองเท้าแล้วออกไปวิ่ง ถ้ามีคนวิ่งมากขึ้นเพราะได้รับแรงบันดาลใจจากเรา นั่นยอดเยี่ยม แต่จริงๆ แล้ว พวกเราก็ได้รับแรงบันดาลใจจากนักวิ่งอีกเป็นหมื่นเหมือนกัน”
คำพูดนี้ยืนยันว่า สำหรับเขาแล้ว แรงบันดาลใจเป็นถนนสองเวย์ เขาได้รับพลังจากความพยายามของนักวิ่งทุกคนในสนาม ไม่ต่างจากที่ทุกคนได้รับพลังจากเขา
ปรัชญาประจำใจของเขาที่ว่า “No Human Is Limited” (มนุษย์ไม่มีขีดจำกัด) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในลู่วิ่ง คิปโชเกขยายความว่า มันคือทัศนคติสำหรับทุกคนในทุกอาชีพ
มันคือความเชื่อที่ว่า "พรุ่งนี้ฉันต้องทำได้ดีกว่าวันนี้" เขายกตัวอย่างง่ายๆ ว่า แม้แต่วันที่เขาไม่อยากตื่นไปซ้อมที่เคนยา เพียงแค่มองเห็นเด็กตัวเล็กๆ เดินสะพายกระเป๋าไปโรงเรียน เขาก็ได้สติและบอกตัวเองว่า “เด็กคนนั้นยังตื่นเช้าเพื่อเดินไปตามเส้นทางของเขา แล้วทำไมผมจะลุกขึ้นมาวิ่งไม่ได้?”
คิปโชเกทิ้งท้ายด้วยความเรียบง่ายที่ทรงพลังที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาไม่ใช่เหรียญทอง แต่คือ “การตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่ายังมีลมหายใจ และยังได้ทำในสิ่งที่รัก”
เขาฝากข้อความถึงคนไทยและคนทั่วโลก ไม่ต้องรอเวลาที่เหมาะสม ไม่ต้องรอให้พร้อมที่สุด แค่นำปรัชญาเหล่านี้มาใช้—อยู่กับปัจจุบัน โฟกัสสิ่งที่สำคัญ มีวินัย และที่สำคัญที่สุดคือ เป็นตัวของตัวเอง
ในสายตาของตำนานผู้นี้ การวิ่งไม่ได้เป็นเพียงกีฬา แต่มันคือวิถีแห่งการขัดเกลาจิตวิญญาณ เพื่อให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้นในทุกๆ ก้าวที่วิ่งไป
ที่มา : แชมป์ว่าง bigissue ineos thepeople
ข่าวที่เกี่ยวข้อง