svasdssvasds

รีวิว ภาพยนตร์ F1 The Movie ดีงาม ทำถึง ประสบการณ์ Cinematic Experience จัดเต็ม

รีวิว ภาพยนตร์ F1 The Movie ดีงาม  ทำถึง  ประสบการณ์ Cinematic Experience จัดเต็ม

ภาพยนตร์ F1 The Movie - ดีงาม ทำถึง ภาพ-เสียงสมจริง นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้ชมจะได้ Cinematic Experience แบบหาที่ไหนไม่ได้เลย!

ทุกๆ ปี จะมีภาพยนตร์หนึ่งเรื่องที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นปรากฏการณ์ และในปีนี้ "F1" คือภาพยนตร์เรื่องนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย โจเซฟ โคซินสกี้ ผู้ซึ่งทำให้เราแทบลืมหายใจกับ Top Gun: Maverick เมื่อปี 2022 กลับมาอีกครั้งพร้อมกับผลงานที่ทะเยอทะยานยิ่งกว่าเก่า นี่ไม่ใช่แค่หนังแข่งรถ แต่มันคือประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสที่ถูกปั้นขึ้นจากแรงงานแห่งความรักในศิลปะอย่างพิถีพิถัน เพื่อฉุดกระชากผู้ชมให้ลงไปนั่งอยู่ในค็อกพิตของรถแข่งที่เร็วที่สุดในโลก

ภาพยนตร์ "F1" เล่าเรื่องราวของ ซันนี่ เฮย์ส (แบรด พิตต์ ในบทบาทที่เปี่ยมด้วยบารมีและร่องรอยของอดีต) นักแข่ง F1 ผู้เกรียงไกรในยุค 90 ที่ต้องแขวนพวงมาลัยไปอย่างน่าเศร้าหลังอุบัติเหตุร้ายแรง เวลาผ่านไป 30 ปี เขาถูกเพื่อนเก่า (ฮาเวียร์ บาร์เด็ม) ดึงตัวกลับหวนคืนสู่วงการอีกครั้ง ไม่ใช่ในฐานะนักแข่ง แต่ในฐานะผู้กอบกู้ทีมท้ายตารางที่กำลังล่มสลาย โดยมีภารกิจปั้นนักแข่งดาวรุ่งอารมณ์ร้อนอย่าง โจชัว เพียร์ซ (เดมสัน ไอดริส) ให้กลายเป็นแชมป์ พล็อตเรื่องการปะทะกันระหว่าง "รุ่นเก๋า" และ "รุ่นใหม่" อาจไม่ใช่ของใหม่ แต่เมื่อถูกวางไว้ในสนามแข่งที่เดิมพันด้วยชีวิตและเสี้ยววินาที มันกลับทรงพลังและคลาสสิกอย่างมีเสน่ห์

นี่คือปมของเรื่องและการเดินทางของเรื่องที่ดูจะคล้ายๆกับหนังกับ Top Gun , คือตัวหนังไม่ได้มีปมดราม่า จุดขัดแย้งที่รุนแรง แต่เป็นการเดินเรื่องไปสู่จุดหมายบางอย่าง ให้ผู้ชมได้ลุ้นไปด้วยกัน พร้อมๆกับ ไฮไลท์สำคัญจากหนังเรื่องนี้ นั่นคือ  "ประสบการณ์ภาพยนตร์" (Cinematic Experience) นั่นคือความรู้สึกโดยรวมที่ผู้ชมได้รับจากการชม ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการผสมผสานองค์ประกอบทางศิลปะและเทคนิคต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างลงตัว  การันตีเลยว่าจากหนังเรื่องนี้ ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวอย่างแท้จริง ด้วยเสียง (ได้ ฮานส์ ซิมเมอร์ นักเพลงมือทอง มาช่วย) และด้วยภาพที่โดดเด่นเหลือเกิน! 

สิ่งที่ทำให้ "F1" เหนือกว่าหนังในแนวเดียวกัน คือ "ความสมจริง" ในระดับที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน โคซินสกี้และผู้อำนวยการสร้าง เจอร์รี บรัคไฮเมอร์ ไม่ได้จำลองการแข่งขันขึ้นมา แต่พวกเขานำพาทีมงานและนักแสดงบุกเข้าไปถ่ายทำในสนามแข่ง Grand Prix ทั่วโลกจริงๆ 

F1 The Movie ดีงาม  ทำถึง ภาพ-เสียงสมจริง  นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้ชมจะได้ Cinematic Experience แบบหาที่ไหนไม่ได้เลย!

การตัดสินใจครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับโปรดิวเซอร์คนสำคัญอย่าง เซอร์ ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์โลก F1  เจ็ดสมัย ซึ่งแบรด พิตต์ยอมรับว่า "หากไม่มีเขา หนังเรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น"

เซอร์ แฮมิลตันไม่ได้เป็นเพียงที่ปรึกษา แต่เขาคือ "หัวใจ" ที่ทำหน้าที่เปิดประตูสู่โลกที่คนนอกยากจะเข้าถึง เขาถ่ายทอดจิตวิญญาณของนักแข่งให้ทีมผู้สร้างเข้าใจลึกซึ้งถึงแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังพวงมาลัย ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับความตาย หรือกระทั่งรายละเอียดเล็กน้อยที่น่าทึ่ง เช่น การที่นักแข่งใช้ "หู" ในการนำทาง แยกแยะเสียงเครื่องยนต์ และรับรู้ระยะห่างจากกำแพงผ่านเสียงสะท้อน ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกถักทอเข้าไปในภาพยนตร์ได้อย่างแนบเนียน

รีวิว ภาพยนตร์ F1 The Movie ดีงาม  ทำถึง  ประสบการณ์ Cinematic Experience จัดเต็ม

ขณะที่ ในส่วนของนักแสดง - แบรด พิตต์และเดมสัสน ไอดริสถ่ายทอดเคมีการเป็นคู่ปรับที่ขับเคลื่อนเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยม การแสดงของพิตต์เต็มไปด้วยความลุ่มลึกของชายผู้แบกรับบาดแผลจากอดีต และเป็น "มนุษย์ลุง" ผู้ที่ยังมีไฟฝันอันแรงกล้า ขณะที่ไอดริสก็ระเบิดพลังของดาวรุ่งที่ทะนงตนได้อย่างน่าเชื่อถือ การปะทะกันของทั้งสองตัวละครสร้างจังหวะขึ้นลงที่ทำให้เรื่องราวมีมิติและน่าติดตามตลอดเวลา

ในเชิงเทคนิค "F1" คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซ งานภาพที่ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX ทำให้ทุกฉากการแข่งขันกลายเป็นประสบการณ์ที่โอบล้อมผู้ชมอย่างสมบูรณ์แบบ คุณจะรู้สึกถึงแรง G ในทุกโค้ง ได้ยินเสียงเครื่องยนต์คำรามก้องอยู่ในอก หากใครที่ได้ดู Top Gun: Maverick ก็จะให้ความรู้สึกสมจริงแบบนั้นเลย  และตื่นตะลึงไปกับความเร็วที่ดูเหมือนจะฉีกขาด ฟิสิกส์ และทั้งหมดนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยดนตรีประกอบของ ฮานส์ ซิมเมอร์ ที่ยังคงทำหน้าที่กระตุ้นอะดรีนาลีนได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย

แม้ใครก็ตามที่ยังไม่เคยชมการแข่งขัน Formula One มาก่อน ก็สามารถ "เอ็นจอย" ไปกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่ แต่สำหรับแฟน F1 ตัวยง นี่คือของขวัญชิ้นพิเศษที่เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ (Easter Eggs) ให้น่าค้นหา ตั้งแต่การปรากฏตัวของนักแข่งจริง ไปจนถึงการหยิบยืมบุคลิกของพวกเขามาใส่ไว้ในตัวละคร

ความสำเร็จของ "F1" ไม่ได้หยุดอยู่แค่คำวิจารณ์ แต่ยังสะท้อนผ่านรายได้เปิดตัวทั่วโลกที่สูงถึง 144 ล้านดอลลาร์ นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของ Apple Studios ที่กล้าทุ่มทุนสร้างมหาศาลเกือบ 300 ล้านดอลลาร์ เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถสร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกได้จริง ความสำเร็จนี้ตอกย้ำว่าพลังของดาราแม่เหล็กอย่าง แบรด พิตต์ ผสานกับเรื่องราวที่ทรงพลังและงานสร้างที่ยิ่งใหญ่ ยังคงเป็นสูตรสำเร็จที่ดึงดูดผู้ชมให้เข้าสู่โรงภาพยนตร์ได้เสมอ

"F1" คือแพ็กเกจที่สมบูรณ์แบบ มันคือภาพยนตร์ที่สร้างมาเพื่อจอขนาดใหญ่ เป็นบทพิสูจน์ถึงฝีมือการกำกับของโจเซฟ โคซินสกี้ และเป็นเครื่องยืนยันสถานะซูเปอร์สตาร์ของแบรด พิตต์ ที่สำคัญที่สุด มันคือชัยชนะที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ต้องการ เพื่อพิสูจน์ว่าประสบการณ์ในโรงภาพยนตร์ยังคงเปี่ยมด้วยมนต์ขลังและพลังทางการค้า

นี่อาจเป็นอีกหนึ่งครั้ง ที่ต้องบอกว่า หนังเรื่องนี้ สร้างมาเพื่อ ประสบการณ์อันล้ำค่า ในการดูหนังในโรง และเป็น Cinematic Experience อย่างแท้จริง!

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related