เปิดนโยบายค่าแรง ในเลือกตั้ง 2566 วันแรงงาน 1 พ.ค. ค่าแรงขั้นต่ำจะขึ้นไหม ?
วันแรงงาน 1 พฤษภาคม 2566 ถือว่า เป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง 2566 ดังนั้น ลองมาส่องดูกันว่า แต่ละพรรค ให้ความสำคัญกับคนใช้แรงงานอย่างไรบ้าง จะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเท่าไร คุณภาพชีวิต และ ค่าแรง จะแพงขึ้นไหม
เลือกตั้ง 2566 กับประเด็นค่าแรง ค่าแรงขั้นต่ำ เป็นสิ่งที่ถูกจับจ้องในเวลาเดียวกัน เพราะในช่วงหาเสียงเลือกตั้งแบบนี้ ทุกพรรคย่อมอยาก เสนอไอเดีย และอยากยกระดับให้กับคุณภาพชีวิต และหนึ่งสิ่งที่เป็นตัวชี้วัดได้ถึง คุณภาพชีวิต ของคนในประเทศ นั่นก็คือ เรื่อง "ค่าแรง"
เพราะ ทุกคนในตลาดแรงงาน ย่อมต้องการ อยากได้ ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น อยู่แล้ว
ทุกคน คงทราบกันอยู่แล้วว่า ประเทศไทยไม่ได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุกปี และมีการขึ้นค่าแรงตั้งแต่หลักหน่วยไปจนถึงหลักสิบ โดยในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา มีการขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดดสูงสุดในยุคของรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ขึ้นจาก 215 บาท ต่อวัน ไปเป็น 300 บาทต่อวัน
ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำล่าสุด เกิดขึ้นในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี 2565 ก็เป็นการขึ้นค่าแรงในรอบ 2 ปีนับจากปี 2563 โดยปรับขึ้น 5.02% เป็น 328-354 บาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ส่องนโยบายประชานิยม อดีตถึงปัจจุบัน ก่อนเลือกตั้ง 66 ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไหม ?
- New Gen Vote อนาคตประเทศไทยในมือคนรุ่นใหม่ : นิวเจนซัดคำถามปัญหาไทย 8 พรรคตอบ
- ส.ส.บัญชีรายชื่อ คำนวณอย่างไรในเลือกตั้ง 66 : สูตรหาร 100 ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์
• นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ กับ เลือกตั้ง 2566
ในช่วงการเลือกตั้ง 2566 มีพรรค เพื่อไทย ที่เสนอขึ้น ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทภายใน 4 ปี หรือในปี 2570 และนักศึกษาจบใหม่ปริญญาตรี รับประกันเงินเดือนเริ่มต้น 25,000 บาท
ขณะที่ พรรคก้าวไกล เป็นอีกหนึ่งพรรค ที่เสนอ นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ ชัดเจน ในการลุย เลือกตั้ง 2566 โดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศ “นโยบายก้าวไกล เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ใช้แรงงาน” ว่า ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทันทีเป็น 450 บาท โดยคำนวณให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ และดัชนีค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ไม่เพียงเท่านั้น พรรคก้าวไกล ยังมีความพยายามจะเพิ่มคุณภาพชีวิตของแรงงงานในตลาด ด้วยการเพิ่มการคุ้มครองสิทธิแรงงาน อาทิ ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถ้าทำงานเกินเวลา จะต้องมีค่าล่วงเวลา พร้อมคูปองเสริมทักษะให้ประชาชนทุกปี พร้อม “แถม” ด้วยนโยบายเงินช่วยเหลือเด็กเล็ก 1,200 บาททุกเดือน และเงินช่วยเหลือผู้สูงวัย 3,000 บาททุกเดือน
• นโยบาย เพิ่มคุณภาพชีวิต เพิ่มค่าแรง หรือ ลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจากพรรคต่างๆ
ส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ย้อนกลัยไปเมื่อปี 2562 เคยมี นโยบายเพิ่มค่าจ้างและค่าแรง – ค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท/วัน จบอาชีวะ เงินเดือนเริ่มต้น 18,000 บาท จบปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 บาท แต่มาในเลือกตั้ง 2566 ครั้งนี้ ยังถือว่าไม่มีตัวเลขที่ระบุชัดๆว่า จะมีความพยายามทำให้ ค่าแรงขั้นต่ำเท่าไร
อย่างไรก็ตาม พลังประชารัฐ ในยุค "บิ๊กป้อม" พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นแคนดิเดตนายก พลังประชารัฐ ใช้สูตร 3-4-5 และ 6-7-8
อายุ 60 ขึ้นไป 3,000 บาทต่อเดือน
อายุ 70 ขึ้นไป 4,000 บาทต่อเดือน
อายุ 80 ขึ้นไป 5,000 บาทต่อเดือน
โดย นโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ของพลังประชารัฐนั้น ผู้ที่อายุ 60 ปี ได้ 3,000 ต่อเดือน , อายุ 70 ปี ได้ 4,000 ต่อเดือน อายุ 80 ปี ได้ 5,000 ต่อเดือน และ พรรคพลังประชารัฐ เสนอให้ 700 บาทต่อเดือน โดยเงื่อนไขคือต้องเป็นผู้ที่ ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ประชาชนไปซื้อของกินของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน
ขณะที่ พรรค รวมไทยสร้างชาติ มี นโยบาย “บัตรสวัสดิการพลัส” ให้กู้ฉุกเฉินได้ และเบิกเงินสมทบประกันชราภาพได้ก่อนอายุ 55 ปี การเลือกตั้งหนนี้จึงกลายเป็น “สงครามประชานิยม” โดย บัตรสวัสดิการพลัส 1,000 บาท และสามารถกู้ฉุกเฉินได้ 10,000 บาท ถ้าไม่มีเงินชำระคืน ให้นำเงินจากบัตรสวัสดิการพลัส ที่เพิ่มเป็นเดือนละ 1,000 บาท มาผ่อนชำระได้ เช่น ผ่อนเดือนละ 500 (ก็ยังเหลือมากกว่าปัจจุบันที่รับแค่ 200-300 )
.
ฝั่ง ภูมิใจไทย มีนโยบายช่วย คนใช้แรงงาน รวมถึงกลุ่มคนอื่นๆ เช่น พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอกเบี้ย คนละไม่เกิน 1 ล้านบาท , นอกจากนี้ ยังพยายามดันเรื่องจัดเครื่องฉายรังสีรักษามะเร็งฟรี ทุกจังหวัด และจัดศูนย์ฟอกไตฟรี ทุกอำเภอ
ส่วน พรรคไทยสร้างไทย' จะช่วยคนชนชั้นแรงงาน กลุ่มคนใช้แรงงาน พร้อมตั้ง กองทุนคนตัวเล็ก แก้หนี้นอกระบบ เงื่อนไขดอกเบี้ยต่ำกว่า 1 % ไม่ต้องค้ำ จับสัญญาณอันตรายหนี้ประเทศแตะ 10 ล้านล้านบาท โดย จะมีอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 1 ต่อเดือน ที่สำคัญไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สามารถเริ่มต้นกู้ได้ไม่เกิน 5,000 บาท และถ้ารักษาเครดิตได้ดีจะสามารถกู้ได้ถึง 50,000 บาท
โดยเงินจำนวนนี้ อาจกู้ยืมไปใช้ในยามวิกฤติ กู้ยืมไปใช้ในการตั้งตัว หรือเอาไปเป็นทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจขนาดเล็กของตัวเอง
ปิดท้ายที่ พรรคประชาธิปัตย์ ชูนโยบาย เรื่อง แรงงงาน เรื่องคนใช้แรงงาน และ ค่าครองชีพต่างๆ ดังนี้
1.ยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองแรงงาน อาทิ ปรับอัตราค่าจ้างให้เหมาะสมกับค่าครองชีพ
ยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองเด็กและสตรีให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์สากล
กำหนดสิทธิลาคลอดแก่แม่ ระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน และให้พ่อลาหยุดเพื่อร่วมดูแลลูกเป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยได้รับเงินชดเชยค่าจ้างจากความร่วมมือระหว่างนายจ้างและสำนักงานประกันสังคม
ยกระดับการดำเนินงานของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เพื่อคุ้มครองลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างจากเลิกกิจการให้ได้รับเงินชดเชย
ส่งเสริมให้มีศูนย์เด็กเล็กคุณภาพในสถานประกอบการ
ส่งเสริมการรวมตัวของลูกจ้าง เพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์และสวัสดิการตัวเอง
2.ขยายสิทธิและสวัสดิการของแรงงานนอกระบบ ด้วยการยกระดับสิทธิและสวัสดิการในประกันสังคม มาตรา 40
3.จัดให้มีระบบประกันสังคมถ้วนหน้า
4.ส่งเสริมให้มีการจ้างงานรายชั่วโมงในภาคธุรกิจบริการ เพื่อเปิดโอกาสในการหารายได้
5.ส่งเสริมการมีงานทำของผู้สูงอายุและผู้พิการ
6.ปฏิรูประบบประกันสังคม
