จากฝันสังคมเกษตรบริสุทธิ์...สู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนในชาติ เหตุใดอุดมการณ์สุดโต่งจึงนำมาเพียงหายนะ และบทเรียนบาดลึกจาก "ทุ่งสังหาร" ยังคงเตือนเราว่าสงครามไม่เคยให้อะไรนอกจากความพินาศ
ประวัติศาสตร์แห่งการนองเลือดโดย “เขมรแดง” หรือ Khmer Rogue มีจุดเริ่มต้นที่ประเทศฝรั่งเศส กลุ่มนักศึกษาฝ่ายซ้าย (สุดโต่ง) ชาวกัมพูชา ที่ได้รับทุนมาศึกษาต่อในช่วงทศวรรษ 1950s ร่วมกันจัดตั้งขวนการคอมมิวนิสต์ และหวนกลับมาตุภูมิเพื่อสร้างฐานอำนาจ
หลังจากปี 1954 กัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส โดยมีสมเด็จพระนโรดมสีหนุ ที่เป็นทั้งกษัตริย์ และผู้นำในการเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส กระทั่งปี 1970 จอมพล ลอนนอล รัฐประหารเจ้าสีหนุและเปลี่ยนระบอบจากราชอาณาจักรเป็นสาธารณรัฐเขมร (Khmer Republic) และขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี
แต่หลังจากนั้น รัฐบาลลอน นอล (ฝ่ายขวา) ก็ไม่ได้รับความนิยม ด้วยว่าเกิดการฉ้อโกงขึ้นเป็นจำนวนมาก บ้านเมืองไร้กฎหมาย มีแต่ความอลหม่าน ผนวกกับฝ่ายเจ้านโรดมสีหนุให้การสนับสนันกลุ่มคอมมิวนิสต์ ซึ่งค่อย ๆ ซ่องสุมกำลังอยู่ตามชนบททั่วประเทศ
ปี 1975 คือจุดเริ่มต้นแห่งการนองเลือด เมื่อกลุ่มเขมรแดงโค่นรัฐบาลของลอน นอล โดยสามารถยึดกรุงพนมเปญได้สำเร็จ โมงยามนั้น ชาวกัมพูชา (ที่ไม่พอใจรบ. ลอน นอล อยู่แล้ว) ต่างรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ด้วยเชื่อว่าแนวคิดของกลุ่มเขมรแดงจะนำพาประเทศเข้าสู่ความสงบสุขเสียที แต่หารู้ไม่ ว่านั้นคือจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์อันแสนโหดร้าย...
แผ่นดินกัมพูชาในยามนั้น ถูกปกครองอย่างเบ็ดเสร็จโดยกลุ่ม “เขมรแดง” นำโดย พล พต (Pol Pot) ชายผู้มีแนวคิดคอมมิวนิสต์แบบสุดโต่ง ภายฝันของเขาคือ กัมพูชาต้องกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร วิทยาการ นวัตกรรม ความก้าวหน้าต่าง ๆ เป็นเรื่องไร้สาระ
และเพื่อสร้าง “สังคมเกษตรบริสุทธิ์” หนึ่งในความสุดโต่งของพล พต คือการไล่กวาดล้างปัญญาชน หรือผู้มีองค์ความรู้ ซึ่งดูท่าจะต่อต้านแนวคิดของเขา เช่น ครู นักวิชาการ หมอ นักเขียน ศิลปิน หรือแม้แต่ข้าราชการในรัฐบาลก่อน ตายเรียบ !
ความ “Tricky” แรกเกิดขึ้นเมื่อพล พต สั่งให้ทหารเร่งอพยพชาวกัมพูชาในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศ มุ่งหน้าสู่ชนบทอันรกร้างห่างไกล เดินกวาดต้อนกันไป ฝ่ายประชาชนยังคงมีหวังว่าหนทางข้างหน้าน่าจะมีชีวิตที่ดีรออยู่
ทว่าสิ่งที่ยืนรอต้อนรับพวกเขาอยู่คือ “การหลวงลวง และความตาย” ประชาชนส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นแรงงานทาส ทำงานปลูกผัก หามรุ่งหามค่ำ ห้ามยิ้ม ห้ามมีสิทธิมีเสียง ใครปริปากบ่น ขัดขืน หรือแสดงความไม่พอใจ ล้วนถูกฆ่าทิ้งทั้งสิ้น
วันดีคืนดี ขณะกวาดต้อนชาวกัมพูชาไปยังพื้นที่ชนบท ทหารเขมรแดงได้พบเข้ากับโรงเรียนแห่งหนึ่ง และได้เปลี่ยนสถานที่นั้นเป็นค่ายกักกันอันเลื่องชื่อ และโหดร้ายทารุณที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยกระทำต่อกัน นามนั้นคือ “คุกตวลสเลง” ซึ่งคาดการณ์กันว่าอาจมีผู้ถูกคุมขังมากถึง 14,000 คน หรือมากกว่านั้น
บาดแผลและร่องรอยความโหดที่เกิดขึ้นที่นี่มิสามารถลบเลือนไปได้ ผู้ถูกคุมขังจะได้รับการถ่ายรูปเก็บไว้ ผู้ใหญ่ เด็ก คนชรา หรือแม้แต่ทารก ถูกขังรวมกันอยู่ในคุกแห่งนี้ ชีวิตประจำวันส่วนใหญ่หมดไปกับการถูกทรมาณ ข่มขู่ และบีบบังคับให้รับสารภาพว่าก่ออาชญากรรมต่อต้านเขมรแดง
ยามเฝ้าคุก ซึ่งโดยมากแล้วเป็นวัยรุ่น จะบีบบังคับให้นักโทษเขียนสารภาพต่อข้อครหา โดยต้องพาดพิงถึงครอบครัว เพื่อน และคนใกล้ชิด และคนเหล่านั้นก็จะถูกตามล่า นำตัวมาคุมขังในสถานที่แห่งนี้ การทรมานเกิดขึ้นทุกวัน ใครที่ยังรอดพ้นมาได้ จะถูกลำเลียงไปฆ่าที่ “ทุ่งสังหาร” หรือ Killing Field ซึ่งตั้งอยู่นอกกรุงพนมเปญ
สิริรวมแล้ว มีผู้รอดชีวิตจากคุกแห่งนี้มาได้เพียง 7 คน และมีคนที่ถูกเขมรแดงฆ่าอย่างโหดเหี้ยมราว 2 ล้านคน ปัจจุบันคุกตวลเสลงและทุ่งสังหาร เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ ให้เรียนรู้บาดแผลในอดีต อันจะบอกให้มนุษย์รุ่นหลังทราบว่า “โลกไม่ควรมีเหตุการณ์เช่นนี้อีกต่อไป”
ตั้งแต่ปี 1975 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับเวียดนามตึงเครียดมาเรื่อย ๆ จากกรณีที่เวียดนามมุ่งมั่นก่อตั้ง "สหพันธรัฐอินโดจีน" ซึ่งจะผนวกเอาลาวและกัมพูชาเข้าไว้ด้วย ความไว้เนื้อเชื่อใจพังทลายลง และเกิดการประทุระหว่างเขมรแดงกับทหารเวียดนามอย่างรุนแรง
ปี 1977 พล พต เดินทางเยือนจีน เข้าพบกับประธานเหมา สะท้อนให้เห็นชัดว่านี่เป็นความพยายามเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกัมรัฐบาลจีนและรัฐบาลเขมรแดง ให้แน่นแฟ้นกลมเกลียวมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่เป็นผลดีต่อเวียดนาม
ในที่สุด ความโหดร้ายเป็นอันต้องจบลง ปี 1978-1979 ทหารเวียดนามยกพลบุกโจมตีเขมรแดง การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้กลุ่มเขมรแดงพ่ายแพ้ ท่านผู้นำ “พล พต” และทหารเขมรแดง ต้องหนีเข้าป่า ถอนกำลังมาตั้งศูนย์บัญชาการอยู่บริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา
“นายฮุน เซน” ในวัย 27 ปี หนึ่งในสมาชิกเขมรแดง หลบหนีไปเข้าร่วมกับเวียดนามในปี 1977 หวนคืนภูมิลำเนาในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ จากนั้นเวียดนามได้จัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (PRK)
ปี 1985 ฮุน เซน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา (People's Republic of Kampuchea) ฮุน เซน ได้เข้าเฝ้าเจ้าสีหนุเป็นครั้งแรกเพื่อหารือการยุติสงครามกัมพูชา-เวียดนามที่ยืดเยื้อ
ปี 1993 ตำนานแพ้เลือกตั้งแล้วไม่ยอมรับผล สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ (พระโอรสของเจ้าสีหนุ) ผู้นำพรรคฟุนซินเปค ชนะเลือกตั้งเหนือพรรคประชาชนของ ฮุน เซน เกิดความขัดแย้งภายใน ทำให้เจ้าสีหนุแบ่งปันอำนาจโดยให้สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์และฮุน เซน เป็นนายกรัฐมนตรีร่วมกันมีอำนาจเท่าเทียมกัน
มีนาคม ปี 1997 เจ้าสีหนุแสดงความตั้งพระทัยที่จะสละราชสมบัติ โดยทรงให้เหตุผลว่าเกิดความรู้สึกต่อต้านราชวงศ์สูงขึ้น จากนั้น ฮุน เซน จึงเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อห้ามสมาชิกราชวงศ์เข้าร่วมในทางการเมือง เพราะฮุนเซนกังวลว่ายังมีผู้นิยมกษัตริย์ และหากปล่อยให้กษัตริย์สละราชสมบัติและเข้าสู่วงการเมืองด้วยพระองค์เอง พระองค์อาจชนะการเลือกตั้งในอนาคต
กรกฎาคม ปี 1997 เกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังของพรรคประชาชนและฟุนซินเปค ฮุน เซน ก่อการรัฐประหารนองเลือด นับแต่นั้นจนถึงตอนนี้ เป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ ที่ นายฮุน เซน หรือ “สมเด็จฮุน เซน” ถือครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ จากอดีตสมาชิกเขมรแดงนองเลือด ขณะเดียวกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีบทบาทสำคัญในการพลิกฟื้นกัมพูชาหลังจากที่ประเทศเผชิญกับการสังหารหมู่
อย่างไรก็ตาม สมเด็จฮุน เซน ปกครองกัมพูชาอย่างไม่ใสสะอาดนัก มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน กำจัดผู้เห็นต่างทางการเมือง ข่มขู่คุกคาม ดีลกับเครือข่ายชนชั้นนำ และกลุ่มนายทุนรายใหญ่ในประเทศ ทั้งยังออกกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลในการยุบพรรคการเมืองได้ตามอำเภอใจ
เมื่อได้อ่านเนื้อหามาจนถึงจุดนี้ เราอาจพอเห็นว่า “ระบอบสังคมนิยม” โดย พล พต ซึ่งได้รับอิทธิพลความคิดจากลัทธิคอมมิวนิสต์ ถูกตีความอย่างสุดโต่งเกินไป จนเลยเถิดไปถึงการสังหารหมู่ (Genocide)
แน่นอนว่าแนวคิดของ “คาร์ล มาร์กซ์” (Karl Marx) ผู้ให้กำเนิดแนวคิด “สังคมนิยม” อันจะนำไปสู่ “ลัทธิคอมมิวนิสต์” ไม่ได้มีภาพในอุดมคติที่ชัดเจน แต่เขาเสนอหลักการวิเคราะห์วิวัฒนาการของสังคมจากมุมมองเรื่องเศรษฐกิจ
เป้าหมายของสังคมนิยมจากไอเดียของมาร์กซ์คือการ “จัดสรรทรัพยากรให้เป็นธรรม” ลดความเหลื่อมล้ำ การโค่นล้มระบอบทุนนิยมโดยชนชั้นกรรมาชีพ หรือให้รัฐยึดปัจจัยการผลิตทั้งหมด เช่น ที่ดิน โรงงาน ธนาคาร ฯลฯ มาร์กซ์เชื่อว่าหากปล่อยให้นายทุนถือครองปัจจัยการผลิต จะนำมาซึ่งปัญหาหลายอย่าง เช่น การเอาเปรียบแรงงาน ความยากจน วิกฤตเศรษฐกิจ ฯลฯ
ปัญหาเกิดขึ้นทันที เมื่อมีผู้หยิบยืมไปใช้ทางปฏิบัติแบบผิด ๆ โดยเผด็จการหลายแห่ง ซึ่งหลายครั้งขัดแย้งกับแนวคิดดั้งเดิมของมาร์กซ์ เช่นกรณีเขมรแดง มาร์กซ์ไม่สนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือแม้แต่การรวมศูนย์อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ
“จีน" ภายใต้การนำของท่านผู้นำ “เหมา เจ๋อ ตุง” คืออีกหนึ่งกรณี ที่หยิบยืมแนวคิดนี้และนำไปตีความปรับใช้ จนก่อกำเนิด ลัทธิเหมา (Maoism) สังคมเกษตรกรรมของจีนนั้น เหมามองว่าการปฏิวัติจะเกิดขึ้นจากพลังชาวนาในการโอบล้อมเมืองจากชนบท ต่างจากมาร์กซ์ที่เชื่อว่าการปฏิวัติจะเกิดขึ้นโดยชนชั้นกรรมาชีพในเมืองใหญ่
สิ่งที่แนวทางคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของเหมา เจ๋อ ตุง และพล พต มีเหมือนกันคือ การควบคุมความคิด และจิตวิญญาณของประชาชน ปลูกฝังอุดมการณ์ ล้างสมอง และกวาดล้างผู้เห็นต่างอย่างรุนแรง ไร้มนุษยธรรม
กัมพูชามีเขมรแดง จีนมี “กองทัพพิทักษ์แดง” หรือ Red Guards กลุ่มเยาวชนที่รวมตัวกันกำจัดวัฒนธรรมเก่าด้วยการใช้กำลัง ทำลายสิ่งของ ทำลายโบราณวัตถุ กดขี่ข่มเหง และมีการประมาณการณ์ว่า ช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม (1966-1976) อาจมีผู้เสียชีวิตตั้งแต่ 4 แสน จนถึง 10 ล้านคน
เรื่องราวการนองเลือดของเขมรแดงนั้น ไม่ได้เป็นเพียงหน้าประวัติศาสตร์อันมืดมิดของกัมพูชา แต่มันคือ บทเรียนอันเจ็บปวด สำหรับมนุษยชาติ เมื่อใดก็ตามที่ อุดมการณ์สุดโต่ง และความพยายามควบคุมความคิดผู้คนเข้าครอบงำ หายนะจะตามมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
บาดแผลจาก 2 ล้านชีวิตที่สูญสิ้น ในทุ่งสังหาร คือสิ่งย้ำเตือนถึงคุณค่าของความอดทนอดกลั้น การเคารพความแตกต่าง และการแก้ปัญหาด้วยการเจรจาเหนือความรุนแรง เพราะสงครามไม่เคยทิ้งอะไรไว้ นอกจากความสูญเสียและรอยร้าวที่ยากจะประสานให้หายขาดได้
ที่มา: หนังสือ คน 17 เมษา (เขียนโดย กิตติศักดิ์ คงคา), Cambodia Tribunal Monitor, france24, BBC
ข่าวที่เกี่ยวข้อง