SHORT CUT
70,000 ชีวิตที่ตายอย่างเดียวดาย: เบื้องหลังสังคมสูงวัยของญี่ปุ่นที่ไม่มีใครเหลียวแล และภารกิจใหม่ของรัฐในการแก้ไขวิกฤต
ญี่ปุ่นอาจเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวล้ำที่สุดในโลก แต่กลับไม่อาจเอาชนะ “ศัตรูที่มองไม่เห็น” ได้ นั่นคือ "ความเหงา"
ปี 2024 เพียงปีเดียว มีผู้เสียชีวิตในลักษณะนี้กว่า 70,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ยากจนและขาดการดูแลทางสังคม และข้อมูลจาก National Institute of Population and Social Security Research ระบุว่า ปัจจุบัน เกือบ 1 ใน 5 ของชาวญี่ปุ่นอายุเกิน 65 ปีอาศัยอยู่คนเดียว ตัวเลขนี้สะท้อนความเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในโครงสร้างครอบครัว จากที่ครอบครัวขยายเคยเป็นเรื่องปกติในยุค 1980 ตอนนั้นครึ่งหนึ่งของครัวเรือนญี่ปุ่นยังอยู่แบบหลายรุ่น แต่ภายในปี 2015 ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 12.2%
วัฒนธรรมที่ลูกต้องดูแลพ่อแม่ในยามแก่ชราค่อย ๆ จางหายไปภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจ การย้ายถิ่นฐาน และความรู้สึกไม่อยากเป็นภาระต่อผู้อื่น ผลลัพธ์คือ มี “ผู้สูงอายุผู้โดดเดี่ยว” ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้ปัญหาความโดดเดี่ยวเคยถูกมองว่าเกิดในกลุ่มชายวัยเกษียณเป็นหลัก แต่ในวันนี้ ผู้หญิงเองก็กำลังตกอยู่ในภาวะเดียวกัน โดยเฉพาะหญิงชราที่ไม่มีเงินบำนาญหรือเงินออม เพราะใช้ชีวิตส่วนใหญ่เป็นแม่บ้าน และมักมีอายุยืนกว่าสามี
รายงานจาก Asia-Pacific Journal: Japan Focus ระบุว่า ผู้หญิงสูงอายุชาวญี่ปุ่นจำนวนมากมีรายได้ต่ำกว่ามาตรฐานความยากจน พวกเธอมักเก็บความทุกข์ไว้เงียบ ๆ เพราะรู้สึกละอายที่จะขอความช่วยเหลือ นี่คือกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในระบบที่ยังไม่พร้อมรองรับสังคมชราเต็มรูปแบบ
เพื่อตอบสนองต่อปัญหานี้ สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น เตรียมดำเนินการสำรวจครั้งใหญ่ในปีงบประมาณ 2026 เพื่อเก็บข้อมูล “แนวปฏิบัติจากภาคเอกชน” ที่ช่วยป้องกันความโดดเดี่ยว โดยเฉพาะโครงการที่สร้างความสัมพันธ์ทางสังคมให้กับพนักงานก่อนเกษียณ เช่น
รัฐบาลตั้งงบประมาณราว 6 ล้านเยน (ประมาณ 4 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสำรวจและคัดเลือกแนวทางที่ได้ผลจริง ก่อนขยายผลทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มงบประมาณอุดหนุนเป็น 176 ล้านเยน เพื่อช่วยเหลือองค์กรท้องถิ่นและกลุ่มเอกชนที่ทำงานด้านนี้โดยตรง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 40 ล้านเยน โดยมุ่งสร้าง “ระบบสนับสนุนการป้องกันความโดดเดี่ยวที่ยั่งยืน”
ในหลายพื้นที่ของญี่ปุ่น เริ่มมีโครงการระดับชุมชนเกิดขึ้น เช่น “คาเฟ่ผู้ป่วยสมองเสื่อม” (Dementia Cafés) ภายใต้ The New Orange Plan ที่เปิดพื้นที่ให้ผู้สูงอายุได้พบปะพูดคุย และร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น ขณะเดียวกัน องค์กรอย่าง Zero Isolation Project ก็กำลังรณรงค์ให้เกิดเครือข่ายอาสาสมัครเยี่ยมบ้าน รวมถึงโครงการสนับสนุนผู้สูงอายุให้กลับมาเชื่อมโยงกับสังคมอีกครั้ง
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเชื่อว่า วิกฤตนี้ไม่ใช่เรื่องของญี่ปุ่นประเทศเดียว แต่คือ “ภาพอนาคตของโลก” ที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย การสร้างสังคมที่ผู้สูงอายุยังรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งจึงเป็นโจทย์สำคัญของทุกประเทศ
ที่มา : borgenproject/.japantimes
ข่าวที่เกี่ยวข้อง