SHORT CUT
“จากประเทศที่ถูกทำลายหลังสงคราม สู่ชาติอุตสาหกรรมชั้นนำ ทำไมคนเกาหลีใต้ถึงทำงานไว จริงจังกับทุกเรื่อง และทุกวินาทีเป็นเงินเป็นทอง !
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมประเทศที่เคยถูกทำลายจากสงครามอย่าง “เกาหลีใต้” จึงสามารถพัฒนาและก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกได้อย่างรวดเร็ว
คำถามนี้อาจมีคำตอบมากมาย ทั้งการบริหารจัดการ เศรษฐกิจ หรือการศึกษา แต่ปัจจัยลึกที่สุดอย่างหนึ่งคือ “ความเร็ว” หรือวัฒนธรรมที่ชาวเกาหลีเรียกว่า “Ppalli Ppalli” (빨리 빨리) ซึ่งแปลตรงตัวว่า “เร็วเข้า เร็วเข้า” ที่ฝังรากลึกอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนและกลายเป็นแรงผลักสำคัญของการพัฒนาประเทศอย่างมหาศาล
ถ้าคุณเป็น “ชาวต่างชาติ” ที่เพิ่งก้าวเท้าสู่เกาหลีใต้ นอกจากแสงสีจากตึกสูง หรือแฟชั่นบนท้องถนน อีกสิ่งสะดุดตาที่คุณจะเห็นคือคือ “ความเร็ว” ที่อยู่ในทุกลมหายใจของผู้คนที่นี่
เพียงแค่ก้าวเข้าลิฟต์ในตึกสูง คุณอาจสะดุดตากับปุ่ม “ปิดประตู” ที่ดูสึกหรอจนเป็นรอย เพราะคนกดมันซ้ำแล้วซ้ำอีก เพียงเพื่อให้ประตูปิดเร็วขึ้นไม่กี่วินาที
ที่ป้ายรถเมล์ก็เช่นกัน คุณอาจเห็นผู้คนวิ่งกรูเข้าประตูรถที่เพิ่งเปิด ทั้งที่รถยังไม่หยุดนิ่งดี และเมื่อรถกำลังจะถึงป้ายถัดไป หลายคนก็จะลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมก่อนถึงจุดจอดจริงเสียอีก เหมือนทุกอย่างถูกตั้งค่าให้ “เร็ว” อยู่เสมอ
สำหรับคนต่างชาติ นี่มักเป็นหนึ่งใน “cultural shock” ที่น่าทึ่งที่สุดในเกาหลี สังคมที่ทุกอย่างหมุนเร็วตั้งแต่ระบบขนส่งจนถึงพฤติกรรมประจำวัน การสั่งกาแฟใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที การจัดส่งพัสดุถึงบ้านในวันถัดไป และแม้แต่การก่อสร้างอาคารใหม่ก็เกิดขึ้นด้วยความเร็วเหนือความคาดหมาย.
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า เหตุผลที่เกาหลีใต้สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็วหลังสงครามเกาหลี (1950–1953) เพราะคนเกาหลีต้องรีบฟื้นฟูชาติให้เร็วทันประเทศอื่น จึงมี “วัฒนธรรมแห่งความเร็ว” อยู่ในสายเลือด พวกเขามองว่าการทำทุกอย่างให้เร็ว ทันเวลา และมีประสิทธิภาพ คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ผู้นำสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงนี้คือ ประธานาธิบดี พัก จอง ฮี (Park Chung-hee) ผู้บริหารประเทศระหว่างปี 1963–1979 ซึ่งเป็นยุคที่เกาหลีใต้เริ่มขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างจริงจังและรวดเร็ว
ในปี 1964 มูลค่าการส่งออกของเกาหลีอยู่เพียง 100 ล้านดอลลาร์ แต่ภายในปี 1977 ตัวเลขนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเร็วกว่ากำหนดถึงสามปี อีกทั้งรัฐบาลยังใช้เวลาเพียงสองปีครึ่งในการสร้างทางด่วน “คยองบู” (Gyeongbu Expressway) ที่เชื่อมกรุงโซลกับเมืองท่าปูซานทางตอนใต้ให้แล้วเสร็จในปี 1968
นอกจากนี้ ในเว็บไซส์ ศาสตราจารย์คัง จุนมัน (Kang Jun-man) จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติจอนบุก เคยเขียนบทความที่อธิบายว่า “ช่วงเวลาสำคัญที่คำว่า ‘Ppalli Ppalli’ กลายเป็นแนวทางการใช้ชีวิตของคนเกาหลีจริงๆ คือทศวรรษ 1960 เมื่อรัฐบาลทหารเริ่มผลักดันแผนพัฒนาเศรษฐกิจหลังสงครามเกาหลี” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมแห่งความเร็วที่ยังคงอยู่ในสังคมเกาหลีจนถึงปัจจุบัน!
อีกหนึ่งข้อสนับสนุน คือหลักฐานที่ย้อนไปในอดีต ซง กีโฮ (Song Ki-ho) ศาสตราจารย์เกษียณด้านประวัติศาสตร์เกาหลีจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล เคยอธิยาบว่า “นิสัยรักความเร็ว” ของคนเกาหลีมีรากมานานหลายศตวรรษ โดยสามารถย้อนกลับไปได้ถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ตามบันทึกในเอกสารราชการโบราณ The Veritable Records of King Sejong
ในบันทึกนั้น พระเจ้าเซจงมหาราชทรงกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า
“ประชาชนของเราชอบทำงานให้เร็ว แต่กลับไม่ค่อยรอบคอบ ถ้าอย่างนั้นจะทำกระเบื้องหลังคาให้ได้รูปทรงที่พอดี เพื่อป้องกันไม่ให้ฝนรั่วเข้ามาได้อย่างไร?”
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเร็วที่เคยเป็นพลังขับเคลื่อนกลับเริ่มกลายเป็นแรงกดดันที่กัดกร่อนชีวิตประจำวันของผู้คน ความเร่งรีบทำให้สังคมเต็มไปด้วยการแข่งขันและความเครียด ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ต้องเสร็จทันกำหนด การเรียนที่ต้องทันเพื่อน หรือแม้แต่การเดินทางที่ต้องถึงก่อนเวลา ทุกอย่างหมุนด้วยจังหวะที่เร็วเกินกว่าที่ใจจะตามทัน ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า “วัฒนธรรมความเร็ว” นี้อาจทำให้คนเกาหลีรู้สึกเหนื่อยล้าและขาดสมดุลระหว่างชีวิตกับงานมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อ “เร็ว” กลายเป็นเป้าหมายจนลืม “ความรอบคอบ” ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ห้างสรรพสินค้า Sampoong Department Store พังถล่มกลางกรุงโซลในปี 1995 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 500 คน ก็ถูกมองว่าเป็นผลจากการเร่งก่อสร้างให้ทันเวลาโดยละเลยความปลอดภัย ที่ทิ้งรอยแผลให้เกาหลีใต้มาจนถึงทุกวันนี้
ยิ่งไปกว่านั้น นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหลายคนเตือนว่า ความเร็วที่กลายเป็น “มาตรฐานของชีวิต” ในเกาหลีใต้ กำลังส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนเกาหลีใต้อย่างรุนแรง
เพื่อคลี่คลายปัญหานี้ สังคมเกาหลีเริ่มหันกลับมามองชีวิตในมุมระยะยาวมากขึ้น เพราะ “เร็วขึ้น” ไม่ได้หมายความว่า “มีประสิทธิภาพมากขึ้น” เสมอไป การปรับจังหวะชีวิตให้ช้าลง และให้ความสำคัญกับ “ความสุข” และ “ความพึงพอใจในชีวิต” ของผู้คนมากกว่าเดิม อาจเป็นหนทางสู่ความสมดุลที่ยั่งยืนกว่าในอนาคต
ที่มา : koreaherald
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
Gen Z ใช้เวลานอกบ้านน้อยกว่า Gen X เลือกเสพ "ธรรมชาติ" ผ่านหน้าจอ
หมดยุค Work Life Balance ผู้นำยุคใหม่ไม่เชื่อ ต้องทุ่มเททำงาน
Gen Z กล้าพูดเรื่องเงินเดือนในที่ทำงาน เพื่อความโปร่งใสในองค์กร