svasdssvasds

ออมเงินไม่สำเร็จ หรือเพราะสมองมอง ตัวเราในอนาคต เป็นคนแปลกหน้า?

ออมเงินไม่สำเร็จ หรือเพราะสมองมอง ตัวเราในอนาคต เป็นคนแปลกหน้า?

อยากมีอิสรภาพทางการเงินแต่ใช้เงินไม่ยั้ง? ปัญหาไม่ได้อยู่ที่วินัย แต่อยู่ที่สมอง! 4 ทริคสำคัญที่จะทำให้เราแคร์ "ตัวเราในวันพรุ่งนี้" มากขึ้น

เชื่อว่าใคร ๆ ก็อยากมีอิสรภาพทางการเงิน แต่ไว้เดือนหน้าค่อยเริ่มเก็บเงินแล้วกันนะ!

ทำยังไงดี เมื่อเราเอาแต่ใช้เงินซื้อของที่อยากได้ โดยไม่คิดถึงตัวเราในอนาคตเลย นี่ไม่ใช่แค่เรื่องวินัยในการออม แต่เป็นเพราะสมอง ซึ่งมองว่า “ตัวเราในอนาคต” เป็นคนละคนกับ “ตัวเราในตอนนี้” จึงไม่แคร์ว่าอนาคตจะมีเงินใช้ไหม งานวิจัยพิสูจน์ชัดนี่คือสาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่ออมเงินไม่สำเร็จ

มีการพูดกันมานานแล้วว่าการออมเงินเป็นเรื่องของวินัย เช่น การสร้างวินัยออมเงินให้ครบ 21 วัน บันทึกรายรับรายจ่าย เปิดบัญชีฝากประจำ ออมเงินตามวันปฏิทิน และอีกสารพัดวิธีออมเงิน แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ออมเงินไม่สำเร็จสักที

แม้เราจะรู้ดีว่าการออมเงินจะมีประโยชน์ต่อตัวเราในอนาคต ถ้าเรามีเงินเก็บ เกิดเจ็บป่วย หรือมีเรื่องต้องใช้เงินแบบเร่งด่วนขึ้นมา เงินออมก้อนนี้จะช่วยไปโปะตรงนั้นได้ แต่ก็ช่างแปลกจริง ๆ ที่เรามักเลือกความสุขสบายในตอนนี้ก่อน อยากได้มือถือใหม่ก็ซื้อเลย พอเงินเดือนออกก็คิดว่างั้น...ไว้เริ่มเก็บเงินเดือนหน้าแล้วกัน ”

จนสุดท้าย เงินเก็บในบัญชีเท่ากับศูนย์ หากคุณกำลังประสบปัญหาเหล่านี้อยู่ ต้องบอกว่านี่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์เลยล่ะ เพราะว่าสมองของเรากำลังมองว่า "ปัญหาของวันพรุ่งนี้ ก็ให้ตัวฉันในวันพรุ่งนี้เป็นคนจัดการ”

แล้วเราจะหลุดออกจากวังวนนี้อย่างไร ถึงสามารถเริ่มออมเงินได้จริง ๆ บทความซีรีส์ SPRiNG UP Your Wealth นี้ชวนไปหาคำตอบกัน

ย้อนที่มาแนวคิด ‘ตัวฉันในอนาคต เป็นคนละคนกับ ตัวฉันในตอนนี้’

แนวคิดนี้มาจาก ฮาล เฮิร์ชฟิลด์ (Hal Hershfield) ศาสตราจารย์ด้านการตลาด การตัดสินใจเชิงพฤติกรรมและจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัย UCLA ผู้เขียนหนังสือ Your Future Self: How to Make Tomorrow Better Today ฉบับแปลไทยชื่อ ‘แด่ตัวฉันในวันพรุ่งนี้’ โดยสำนักพิมพ์ Bookscape

ในหนังสือเล่มนี้ ฮาล เฮิร์ชฟิลด์ อธิบายว่าสาเหตุที่เราไม่สามารถออมเงินได้สักที ก็เพราะสมองของเรานั้นมองว่า “ตัวฉันในอนาคตเป็นคนละคนกับตัวฉันในตอนนี้” หมายความว่าเวลานึกถึงเรื่องที่อยู่ในอนาคต เรามักมองตัวเองในสายตาของบุคคลที่สาม ไม่ได้คิดว่าคนนั้นคือตัวเรา (ในปัจจุบัน) ทั้ง ๆ ที่ก็เป็นคนเดียวกันนั่นแหละ

เฮิร์ชฟิลด์ เขียนถึงงานวิจัยที่เขาทำไว้ในหนังสือด้วย งานวิจัยนี้น่าสนใจมาก โดยเขาได้ใช้การสแกนสมอง (fMRI) ยังพบว่าขณะที่ผู้เข้าร่วมทดลองคิดถึงตัวเองในอีกหลายปีข้างหน้า สมองของพวกเขามีรูปแบบการทำงานคล้ายกับตอนที่คิดถึงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง มากกว่าจะเหมือนตอนคิดถึงตัวเอง

ทีนี้ เมื่อเรามองตัวเราในอนาคตประหนึ่งเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือเราจะเลือกทำเพื่อตัวเอง (ในปัจจุบัน) ก่อนเสมอ เพราะเราหิวก็กินเลย อยากได้อะไรก็ซื้อเลย ปรนเปรอตัวเองได้เลยเดี๋ยวนั้น ทำให้แนวคิดเรื่องการออมเงินเพื่อตัวเองในอนาคตเป็นเรื่องที่ “ไว้ทำวันหลัง”

เฮิร์ชฟิลด์ อธิบายไว้ชัดเจนว่าเมื่อใดก็ตามที่เราคิดหรือมองตัวเองในอนาคตเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง เราก็จะไม่อยากทำอะไรดี ๆ เพื่อคน ๆ นั้นหรอก เช่น ไม่ยอมเก็บเงิน ไม่ยอมออกกำลังกาย ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย กินแต่ของไม่มีประโยชน์ ส่วนในอนาคตก็เป็นเราเองนั่นแหละ ที่ต้องรับผลลัพธ์ของการกระทำไป

มีหนึ่งคำที่อธิบายภาวะนี้ได้เป็นอย่างดีคือ Temporal Discounting กล่าวคือเรามักจะให้ความสำคัญกับผลตอบแทนที่ได้มาทันที (ในปัจจุบัน) มากวก่าผลตอบแทนในอนาคต สมมติ ให้เลือกระหว่างได้เงิน 2,000 บาททันที กับรออีก 10 ปีถึงได้เงิน 50,000 คุณจะเลือกอะไร

คำตอบก็ขึ้นอยู่กับว่าถ้าคุณสภาพคล่องไม่สู้ดีนักก็อาจเลือกเงิน 2,000 บาท แต่ถ้าคุณมีกินมีใช้อยู่แล้ว การรอเงิน 100,000 บาทในอีก 10 ปีเป็นเรื่องสบายมาก

 

สำรวจปัจจัยด้านอื่น ๆ ที่ทำให้เราไม่แคร์ผลตอบแทนในอนาคต

คุณเป็นคนไม่ยอมรับความเสี่ยง หมายความว่าคุณมีแนวโน้มที่เลือกตัวเลือกที่ได้ผลตอบแทนหรือกำไรทันที มากกว่าผลตอบแทนในอนาคตที่ไม่แน่นอน

อิทธิพลทางสังคมก็มีส่วน iPhone 17 ออกใหม่ น้ำปั่นร้านนี้ใคร ๆ เขาก็กินกัน หรือจะถ่ายฟิตเนสลงอินสตาแกรมก็จะเป็นแบบธรรมดาไม่ได้ สังคมมีผลต่อการตัดสินใจของเราโดยไม่รู้ตัว ซึ่งแลกมากับค่าใช้จ่าย

มีอยู่แล้ว จึงไม่คิดถึงอนาคตมากนัก แน่นอนว่าถ้าคุณมาจากบ้านหรือตระกูลที่มีทรัพย์สินมากมายอยู่แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องดิ้นรนในการเก็บเงินเพื่ออนาคต ความสุขในปัจจุบันสำคัญที่สุด เว้นเสียแต่ว่าบางเรื่องที่คุณแคร์จริง ๆ เช่น สุขภาพ (ซึ่งบางครั้ง...เงินซื้อไม่ได้)

 

ลองปรับมุมมองใหม่ แล้วเราจะอยากทำสิ่งดี ๆ เพื่อคนแปลกหน้าคนนี้มากขึ้น!

เฮิร์ชฟิลด์ เสนอว่าถ้าเราเริ่มมองตัวเองในอนาคตอีก 10 20 หรือ 30 ปีข้างหน้า (หรือจริง ๆ เดือนหน้าก็ได้แล้ว) เป็นเหมือนคนใกล้ชิด หรือให้ความสำคัญกับอนาคตมากขึ้น (แต่ไม่ได้แปลว่าสุขกับปัจจุบันน้อยลง) เราก็อยากจะทำสิ่งดี ๆ เพื่อคนแปลกหน้าคนนั้นมากขึ้น เช่น การเก็บเงิน เป็นต้น

นอกจากงานเขียนของเฮิร์ชฟิลด์ ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่แนะนำการปรับมุมมองได้น่าสนใจ จากที่มองว่าตัวเราในอนาคตคือคนแปลกหน้า กลับกัน ถ้าเรามองว่าตัวเราในวันนี้ก็คือตัวเราในวันข้างหน้า จะทำให้เรามีแนวโน้มที่จะเก็บเงินเก็บทองไว้กับตัวมากกว่า ทั้งยังประพฤติตนสุจริต มีความพึงพอใจในชีวิตปัจจุบัน และปูทางรอสู่อนาคตที่กำลังมาถึง

หากคำอธิบายด้านบนยังไม่พอ เรารวบรวม 4 ทริค ที่จะช่วยให้คุณคิดถึงตัวเองในอนาคตมากขึ้น

  • สร้างเป้าหมายในระยะยาว และมั่นคงในเป้าหมาย หากเรามุ่งมั่นมากพอ เราจะลดความอยากในปัจจุบันลงได้
  • ฝึกชะลอให้เป็น จากที่ต้องซื้อเดี๋ยวนี้ ลองเป็นเก็บเงินก่อน แล้วนาน ๆ ครั้งค่อยให้รางวัลตัวเอง เพื่อฝึกให้ตัวเองคุ้นชินกับการรอคอย
  • หาใครสักคน ข้อนี้สำคัญมาก การมีใครสักคนคอยแนะนำ (ที่ถูกต้อง) จะช่วยให้เราดำเนินไปตามแผนที่วางไว้สำหรับเราในอนาคตได้ เพราะบ่อยครั้งเรามักตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ และเสียดายทีหลัง
  • ตั้งค่าฝากเงินอัตโนมัติ การส่งประกัน เงินเกษียณ ลงทุน หุ้น ตั้งค่าให้หักไปแบบออโต้อาจพอช่วยได้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเงินที่เยอะเสมอไป อาจแค่ 5-10% ของรายได้ หรือเท่าไรก็ได้ ในระยะยาวคุณมีเงินตุนไว้แน่นอน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related